รุมสับ หนุนแนวคิดบิ๊กจิ๋วตั้งรัฐปัตตานีดับไฟใต้
มาตุภูมิ เกทับ บิ๊กจิ๋ว เตรียมเปิดแถลงแนวคิดตั้งทบวงดับไฟใต้ ใต้เสื้อพรรคมาตุภูมิ อัด จิ๋ว ทำเอิกเกริก จนเกิดเหตุระเบิดต้านแนวคิดรัฐปัตตานี พท.อ้างไอเดียตั้งนครปัตตานีไม่ได้แบ่งแยกดินแดน วอร์รูมปชป.ประเมิน บิ๊กจิ๋ว เดินเกมตามใบสั่ง อดีตกอส.ห่วง นครปัตตานี ทำปชช.3จว.ใต้สับสน
นายอารีเพ็ญ อุตรสินธ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคมาตุภูมิ กล่าวถึงแนวคิดการแก้ปัญหาภาคใต้ด้วยการตั้งรัฐปัตตานีของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ว่า เรื่องนี้เป็นแนวคิดเดิมที่พล.อ.ชวลิตเคยพูดไว้เมื่อ 3-4 ปีที่แล้วคือมหานครปัตตานี ก็เป็นสิ่งที่รับได้ เพราะอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญไม่ใช่การแยกรัฐอิสระ แต่เรื่องนี้ต้องไปถามว่าส.ส.เพื่อไทยเอาด้วยหรือไม่ เพราะทราบแค่ว่าเป็นแค่ของพล.อ.ชวลิตไม่ใช่ของพรรค ไม่รู้พรรคเพื่อไทยจะหนุนหรือไม่ แม้พล.อ.ชวลิตจะเป็นประธานพรรคเพื่อไทยและข้อเสนอการให้เป็นเขตปกครองพิเศษก็เป็นนามธรรม แค่พูดชื่อออกมาไม่มีโครงสร้างอะไรชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างการได้มาของผู้มีอำนาจ ระบบภายในนครภายในรัฐ อีกทั้งยังเป็นการทำอะไรที่เอิกเริกดูแค่ตัวอย่างการเดินทางไปใต้ของพล.อ.ชวลิตที่พูดถึงนโยบายไทยร่วมเย็น นครปัตตานี เกิดเหตุระเบิดทันทีมีตำรวจขาขาดได้รับบาดเจ็บสาหัส แสดงให้เห็นว่าคนต่อต้านไม่เอาแนวคิดพล.อ.ชวลิตที่ทำงานแบบไม่มีรูปธรรม เน้นแต่ความหวือหวาทำให้ปัญหาบานปลายยิ่งหนักขึ้นไปอีก
"ยืนยันว่าพรรคมาตุภูมิไม่เอาด้วยแนวคิดนี้ และพรรคจะทำงานเชิงรุกเปิดแนวคิดใหม่การแก้ปัญหาภาคใต้แบบยั่งยืน โดยล่าสุด พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคมช. และนายเด่น โต๊ะมีนา อดีตส.ส.ปัตตานี พรรคมาตุภูมิ เตรียมเปิดแถลงข่าวร่วมกันถึงแนวคิดการแก้ปัญหาภาคใต้ที่เชื่อว่าจะได้รับเสียงตอบรับดีกว่าของพล.อ.ชวลิต คือการเสนอตั้งทบวงหรือกรมดูแลปัญหาภาคใต้ขึ้นมาโดยเฉพาะ และให้มีรมต.ดูแลภาคใต้ขึ้นมาโดยตรงจะทำให้การแก้ปัญหาภาคใต้ดีขึ้นแน่นอน และรายละเอียดทั้งหมดจะเห็นผลเป็นรูปธรรม โดยจะมีการแถลงข่าวร่วมกันในเร็ววันนี้" นายอารีเพ็ญ กล่าว
พท.อ้างไอเดีย จิ๋ว ตั้งนครปัตตานีไม่ได้แบ่งแยกดินแดน
เมื่อเวลา 15.00 น. นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ชวลิต เสนอให้จัดตั้ง นครรัฐปัตตานี ว่า ถือเป็นการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารของรัฐบาลเพื่อประโยชน์ทางการเมือง เนื่องจากการให้สัมภาษณ์ของพล.อ.ชวลิต เมื่อวันที่ 2 พ.ย. ที่ผ่านมา เป็นการพูดถึงรูปแบบการปกครองท้องถิ่น รูปแบบพิเศษ เช่น เมืองพัทยา กรุงเทพฯ และนครเชียงใหม่ ไม่ใช่การปกครองแบบนครรัฐปัตตานี หรือการแบ่งแยกรัฐเหมือนที่รัฐบาลและสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์บางคนออกมาให้ข่าวบิดเบือนรายวัน โดยใช้คำพูดที่ดิสเครดิต ไม่สร้างสรรค์ และใส่ร้ายป้ายสีโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯและนายเทพไท เสนพงษ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
วอร์รูมปชป.ประเมิน บิ๊กจิ๋ว เดินเกมตามใบสั่ง
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงหลังการประชุมคณะทำงานปฏิบัติการทางการเมือง (วอร์รูม) ของพรรคประชาธิปัตย์ร่วมกับ ส.ส. 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ที่ประชุมมีการหารือถึงเรื่องการเดินสายไป 5 ประเทศเพื่อนบ้านของพล.อ.ชวลิต ที่ได้วางแผนการเดินทางตั้งแต่เดือนพ.ย. - เดือนธ.ค. ซึ่งที่ประชุมมีความเห็นต่อกรณีนี้ดังกล่าวว่า 1.หวังว่าพล.อ.ชวลิต จะตระหนักถึงบทบาทในฐานะที่เป็นอดีตผู้นำประเทศ ในการไปเยือนต่างประเทศ โดยขอให้ยึดหลักการฑูตส่วนตัว จะต้องใช้เพื่อประโยชน์ส่วนร่วมของประเทศ เพราะเคยเกิดปัญหาจากการเดินทางไปกัมพูชาและใช้การฑูตส่วนตัวเพื่อประโยชน์ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองภายใน โดยมีการเลือกช่วงเวลาของการเคลื่อนไหวก่อนการประชุมอาเซียนมาแล้ว รวมถึงการลงไปเยือนภาคใต้ ก่อนที่นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซียจะมาเยือนประเทศไทย
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ประชุมได้หารือถึงการตั้งรัฐปัตตานีหรือไม่ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นว่า พล.อ.ชวลิต เคยเสนอสมัยที่เป็นรัฐมนตรีบริหารฝ่ายความมั่นคงในขณะนั้น แต่กลับมีความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งเรื่องอุ้มฆ่าและการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทำให้นโยบายเดินหน้าไม่ได้ ทั้งนี้ ที่ประชุมยังเห็นด้วยว่า พล.อ.ชวลิต ต้องพูดถึงวิธีอื่นๆในเดินหน้าแก้ไขปัญหามากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเพราะพูดได้ลำบาก เนื่องจากกรณีต่างๆที่เกิดขึ้นพล.อ.ชวลิต เองอยู่ในความรับผิดชอบด้านความมั่นคงในขณะนั้นด้วย
บุญจง อัด บิ๊กจิ๋ว เร่ขายฝัน ตั้งนครรัฐปัตตานีชี้เป็นไปไม่ได้
ที่พรรคภูมิใจไทย ถ.พหลโยธิน วันที่ 3 พ.ย.52 นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยและรมช.มหาดไทย กล่าวถึงข้อเสนอตั้งนครรัฐปัตตานีของพล.อ.ชวลิต ว่า ตนไม่มีความคิดเห็น อาจเป็นแนวคิดของผู้เสนอเอง แต่วันนี้ยังไม่จำเป็น เพราะปัตตานีก็เป็นจังหวัดอยู่แล้ว ซึ่งวันนี้จะทำเป็นรัฐไม่ได้ ส่วนที่หากตั้งรัฐปัตตานีแล้วจะแก้ปัญหาภาคใต้ได้หรือไม่ ก็ต้องไปถามผู้เสนอแนวคิดนี้ ทั้งนี้ตนอยากชี้แจงว่าการปกครองของไทย ในสารบบการปกครองท้องถิ่นไม่มีนคร ไม่มีนครเชียงใหม่ มีแต่เทศบาลนคร เมือง ตำบล ซึ่งหากจะให้เป็นเทศบาลนคร ซึ่งเป็นการปกครองในเมืองใหญ่ ปัจจุบันก็มีอยู่แล้ว ทั้งในโคราช อุบลราชธานี ปัตตานี เชียงใหม่
ส่วนที่พล.อ.ชวลิต ระบุว่าการตั้งนครรัฐปัตตานีโดยอยู่ภายใต้กฎหมายและรัฐธรรมนูญไทยก็ไม่รู้หมายความว่าอย่างไร ถ้าจะให้เป็นลักษณะของการปกครองพิเศษ ปัจจุบันของไทยก็จะมีการปกครองท้องถิ่นในเขตปกครองพิเศษ คือ กทม. และเมืองพัทยา ซึ่งถือเป็นเมืองใหญ่ โดยในการจะจัดเป็นเขตปกครองพิเศษได้ต้องพิจารณาจำนวนประชากร รายได้ เช่น เป็นเมืองท่องเที่ยว อย่างนี้ก็น่าจะทำ
เมื่อถามว่าแนวคิดพล.อ.ชวลิต เป็นการขายฝันให้กับใครหรือไม่ รมช.มหาดไทย กล่าวปฏิเสธว่า ตนก็ไม่รู้ อย่างไรก็ตามตนพูดอย่างนี้ไม่ได้เป็นการบังอาจสอนพล.อ.ชวลิต แต่เป็นการชี้แจงว่าเชียงใหม่ไม่ได้ปกครองแบบนคร แต่เป็นการปกครองรูปแบบเทศบาลนคร
อดีตกอส.ห่วง นครปัตตานี ทำปชช.3จว.ใต้สับสน
นายประสิทธิ์ เมฆสุวรรณ อดีตคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) เปิดเผยว่า แนวทางการตั้งนครปัตตานีเป็นประเด็นที่พล.อ.ชวลิต ให้ความสำคัญมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงที่มีบทบาทต่อการแก้ไขปัญหาเห็นได้จากการประกาศเสนอแนวทางปกครองในรูปแบบเฉพาะพื้นที่ หรือรูปแบบพิเศษในพื้นที่ 3จังหวัดมาก่อนหน้านี้ โดยส่วนตัวเชื่อว่า พล.อ.ชวลิต เป็นคนที่มีความตั้งใจดี ที่จะแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้มีความพยายามที่จะเสนอแนะแนวทางแก้ไขสถานการณ์ในลักษณะการให้คนหลากศาสนาสามารถอยู่ร่วมกันได้ในพื้นที่ โดยเฉพาะเสนอประเด็นนครปัตตานีจะเป็นอีกความพยายามที่จะเพิ่มแนวทางในการยุติความรุนแรง
"การจะเดินไปสู่การเกิดขึ้นของนครปัตตานีตามแนวคิดของ พล.อ.ชวลิต คงเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาอีกพอสมควร และคงไม่เกิดขึ้นในเวลาอันใกล้แน่นอน เพราะวันนี้ยังมีกระบวนการอีกมากมายในการทำความเข้าใจกับทุกฝ่ายโดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายแดนใต้ทุกเชื้อชาติและศาสนาเพื่อมิให้เกิดความสับสนจนกลายเป็นปัญหาทางความรู้สึก" นายประสิทธิ กล่าว
อดีต กอส. กล่าวอีกว่าส่วนตัวหวังว่า หาก พล.อ.ชวลิต มีความมุ่งหวังในการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ด้วยความจริงใจนับว่าเป็นสิ่งที่ดี และหวังว่าคงไม่ใช้แนวทางนครปัตตานี เพียงเพื่อการช่วงชิงความได้เปรียบทางการเมือง ดังนั้นจึงอยากให้ทำความเข้าใจในเรื่องนี้ให้กระจ่างว่าเจตนาที่แท้จริงคืออะไร เพื่อป้องกันความสับสนของประชาชนในพื้นที่ หรือนำไปสู่การตีความหมายไปในทิศทางที่คลาดเคลื่อนจนกลายเป็นปัญหาทางความรู้สึกได้