ไพบูลย์ นิมนต์ 2 พส. ลาสึกไปเป็นดารา พฤติกรรมไลฟ์สดไม่เหมาะสม-ผิดธรรมวินัยบางเรื่อง

ไพบูลย์ นิมนต์ 2 พส. ลาสึกไปเป็นดารา พฤติกรรมไลฟ์สดไม่เหมาะสม-ผิดธรรมวินัยบางเรื่อง

ไพบูลย์ นิมนต์ 2 พส. ลาสึกไปเป็นดารา พฤติกรรมไลฟ์สดไม่เหมาะสม-ผิดธรรมวินัยบางเรื่อง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"ส.ส.ไพบูลย์" ตะเพิด 2 พส. ลาสึกไปเป็นดารา ชี้พฤติกรรมไลฟ์สดไม่เหมาะสม ด้านที่ปรึกษาอนุ กมธ.พระพุทธศาสนา เห็นต่าง 2 พส. ไลฟ์ไม่ผิดพระธรรมวินัย ตราบใดที่ยังรักษาศีล 227 ข้อ ชี้ช่วยดึงคนรุ่นใหม่สนใจธรรมะมากขึ้น

วันนี้ (7 ก.ย.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีการไลฟ์สดของพระมหาไพรวัลย์และพระมหาสมปอง ว่า ส่วนตัวมองว่าไม่เหมาะสม เพราะพระสงฆ์กลายเป็นดารา เรื่องนี้พระธรรมวินัยห้ามไว้ ไม่ควรทำตัวเป็นดารานักแสดง ถ้าอยากจะเป็นดาราก็ควรจะลาสิกขาบท

ส่วนที่หลายคนมองว่าเป็นวิธีที่ทำให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงธรรมะมากขึ้นนั้น นายไพบูลย์ กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นก็ให้ดาราทำก็ได้ ก็พูดเหมือนกัน แต่เป็นพระภิกษุจะใช้วิธีสื่อสารเช่นนั้นไม่เหมาะสม ปัญหาคือ ดำรงสถานะเป็นพระภิกษุก็ต้องอยู่ในพระวินัย อยู่ด้วยความสมถะเรียบร้อย แต่หากเป็นดาราก็อีกเรื่องหนึ่ง ดังนั้น การนำเสนอธรรมะ หากเห็นว่าเป็นวิธีที่ดีก็ไปให้ดาราทำ ทำเช่นนี้ทำให้ชาวโลกติเตียน ผิดธรรมวินัยบางเรื่อง

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 9 ก.ย.นี้ คณะกรรมาธิการการศาสนาฯ จะนิมนต์พระสงฆ์ทั้งสองรูปเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการฯ ต่อไป

ส.ส.นิยม ชี้ 2 พส. ไลฟ์ไม่ผิดพระธรรมวินัย

ทางด้าน นายนิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ถือเป็นการดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาฟังการเทศน์ในรูปแบบใหม่ เพื่อให้เข้าถึงพระพุทธศาสนาได้ง่ายมากขึ้น ไม่มีส่วนใดในการไลฟ์ที่ผิดพระธรรมวินัย พร้อมมองว่า

1. การหัวเราะที่ถูกมองว่าไม่สำรวมนั้น มองว่าการหัวเราะไม่ใช่เรื่องผิดบาป และการไม่สำรวมในความหมายตามพระพุทธศาสนา คือ ทำผิดโลกวัชชะ ทำในสิ่งที่ทางโลกติเตียน ไม่ได้หมายความว่าห้ามหัวเราะหรือห้ามพูดด้วยศัพท์ของวัยรุ่น

2. พระทั้งสองรูปยังคงปฏิบัติรักษาศีล 227 ข้อ และในศีล 227 ข้อ ไม่มีข้อใดที่ห้ามไม่ให้พระหัวเราะ ทั้งยังอยู่ในมัชฌิมาปฏิปทา คือ ทางสายกลาง ดังนั้นการหัวเราะของพระทั้งสองรูป ไม่ใช่สิ่งที่ผิดในทางพระพุทธศาสนา

3. การไลฟ์เทศนาธรรมแบบใหม่ของพระทั้งสองรูป ถือเป็น “จริต” ในทางศาสนาพุทธในสมัยพุทธกาล โดยจริตหมายความว่า เคยเป็นแบบไหนก็เป็นแบบนั้น ซึ่งในพระไตรปิฎกบันทึกไว้ว่า มีพระที่ยังไม่บรรลุพระอรหันต์ กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า พระสารีบุตร อัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า “ไม่สำรวม” ในการเดิน คือ กระโดดข้ามคลองเล็กๆ พระพุทธเจ้าตรัสว่า มันเป็น “จริต” ของท่าน เพราะในชาติภพก่อนพระสารีบุตรเคยเกิดเป็นวานร มาชาตินี้บางครั้งจึงมีจริตเดิมได้ ไม่ถือว่าไม่สำรวม ในปัจจุบันหมายถึง เคยเป็นแบบใดก็เป็นแบบนั้น

ส่วนกรณีที่คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร กำลังขอมติออกหนังสือนิมนต์พระสงฆ์ทั้ง 2 รูปเข้ามาชี้แจงนั้น นายนิยม มองว่า กมธ.ศาสนาฯ ไม่มีสิทธิเรียกพระสงฆ์เข้ามาชี้แจงหรือวินิจฉัยว่าใครผิดใครถูก ไม่มีอำนาจสอบสวนพระ เพราะคณะสงฆ์มีองค์กรปกครองคณะสงฆ์อยู่ ทั้งมหาเถรสมาคม เจ้าคณะ หรือเจ้าอาวาส สิ่งที่ กมธ.ทำได้คือนิมนต์พระสงฆ์ทั้ง 2 รูปเล่าให้ฟังว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไรเท่านั้น

“ไม่มีเครื่องวัดว่าหัวเราะแบบไหนสำรวมหรือไม่สำรวม ถ้าจะให้เทศน์ธรรมะแบบโบราณจริงๆ คนรุ่นนี้ไม่ฟังหรอกครับ ใส่ตลกขบขันบ้างเพื่อให้คนสนใจ อาจจะดูหวือหวาบ้างเพราะเป็นถ่ายทอดสด แต่การไลฟ์ก็ไม่มีพระธรรมวินัยข้อใดห้ามไว้ กลับดีเสียอีกที่ในยุค New Normal คนไม่ต้องเดินทางไปวัด ก็รับธรรมะที่บ้านได้ เป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้อีกทางหนึ่ง” นายนิยม ระบุ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook