จเรตำรวจ สอบ "ทนายตั้ม" กว่า 2 ชั่วโมง เจ้าตัวยันไม่ได้รับงานโจมตี "อดีตผู้กำกับโจ้"
จเรตำรวจ สอบปากคำ "ทนายตั้ม" นานกว่า 2 ชั่วโมง เจ้าตัวยันไม่ได้รับงานจากใครโจมตี "อดีตผู้กำกับโจ้" กับพวก ไม่เคยรู้จักมาก่อน ระบุสอบปากคำฐานะพยานปากสุดท้ายแล้ว ด้านจเรฯ เตรียมแจ้งข้อหาผิดวินัยร้ายแรง 7 ตำรวจภายในสัปดาห์นี้ พร้อมส่งคลิปฉาวให้พิสูจน์หลักฐานตรวจ-วิเคราะห์คัดแยกเสียง ก่อนแจ้งข้อหาเพิ่ม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (14 ก.ย.) นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เปิดเผยภายหลังเข้าให้ปากคำกับ พล.ต.ท.สราวุฒิ การพานิช รองจเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนวินัย พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ อดีต ผกก.โจ้ และลูกน้อง รวม 7 คน โดยใช้เวลาในการสอบปากคำนานกว่า 2 ชั่วโมง
ทนายษิทรา ระบุว่า วันนี้ได้นำคลิปที่มีการโพสต์ในลงสื่อต่างๆ มามอบให้กับคณะกรรมการจเรตำรวจ ตรวจสอบในคดีตำรวจ 7 นาย ซ้อมทรมานผู้ต้องหาคดียาเสพติดจนเสียชีวิต ก่อนที่จะนำเข้าสู่สำนวนคดี เบื้องต้นทราบว่า คณะกรรมการจเรตำรวจได้ดำเนินการแจ้งข้อหาผิดวินัยร้ายแรงกับตำรวจทั้ง 7 นายแล้ว โดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้สั่งให้ดำเนินการอย่างรวดเร็ว
ทนายษิทรา กล่าวอีกว่า การสอบปากคำในวันนี้ ทางคณะได้สอบถามถึงที่มาของคลิปดังกล่าว โดยตัวเองได้ให้ข้อมูลว่ามาจากตำรวจชั้นผู้น้อยนายหนึ่งและหลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก ซึ่งทางคณะกรรมการฯ ก็ไม่ได้กดดันให้บอกรายละเอียดทั้งหมด รวมทั้งการเข้าให้ปากคำในวันนี้ถือว่าตัวเองเป็นปากสุดท้ายในฐานะพยาน
“ยืนยันว่าตัวผมเองไม่ได้รับงานมาจากใครเพื่อโจมตีอดีต ผกก.โจ้ หรือกลั่นแกล้ง เนื่องจากที่ผ่านมาไม่เคยเจอและไม่เคยรู้จักกับตำรวจทั้ง 7 นายเป็นการส่วนตัว ส่วนอดีต ผกก.โจ้ ยอมรับว่าเคยเจอเพียง 1 ครั้งเท่านั้น” ทนายษิทรา ระบุ
ขณะเดียวกัน คณะกรรมการจเรตำรวจ เปิดเผยการสอบสวนเบื้องต้นว่า มีมติแจ้งผิดข้อหาวินัยร้ายแรงกับตำรวจทั้ง 7 นาย ส่วนคลิปที่ได้รับจากทนายตั้มนั้น จะนำส่งให้กองพิสูจน์หลักฐานดำเนินการตรวจพิสูจน์ตามขั้นตอนการตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานเข้าสู่สำนวนคดี รวมถึงตรวจสอบวิเคาระห์คัดแยกเสียงในคลิปดังกล่าว เพื่อแจ้งข้อหาเพิ่มเติม เช่น ว่ามีการเรียกรับเงินหรือไม่
“คาดว่าจะทราบผลการตรวจสอบพยานหลักฐานทั้งหมดภายในสัปดาห์นี้ และในสัปดาห์หน้าและเข้าแจ้งข้อกล่าวหาผิดวินัยร้ายแรงกับตำรวจทั้ง 7 นาย ที่เรือนจำคลองเปรม เพื่อให้ทั้ง 7 นายชี้แจงข้อเท็จจริงตามกระบวนการพิจารณาโทษต่อไป”