แทงคนไร้บ้านดับริมถนน ย่านสุทธิสาร ผงะ ตรวจพบหนุ่มมือมีดติดโควิด
หนุ่มฉุนจัดแทงอริดับริมถนนรัชดาภิเษก ตำรวจ สน.สุทธิสาร ตามรวบทันควัน เจอติดโควิด-19 รปภ.เผยเป็นคนไร้บ้านทั้งคู่ ทะเลาะกันประจำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (17 ก.ย.) เมื่อเวลา 20.30 น. พ.ต.ท.รักเกียรติ์ ปทุมวัลย์ สว.(สอบสวน) สน.สุทธิสาร ได้รับแจ้งเหตุมีชายถูกแทงเสียชีวิตที่บริเวณหน้าธนาคารแห่งหนึ่ง สาขารัชดาภิเษก สาขาสุทธิสาร ถนนรัชดาภิเษก แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กทม. จึงพร้อมด้วยแพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดีและเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู ร่วมตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณทางเข้าออกของธนาคารดังกล่าว พบศพชายไร้บ้าน ไม่ทราบชื่อ อายุประมาณ 50 ปี ถูกแทงที่บริเวณชายโครงซ้ายและถูกปาดลำคอ เลือดนองเต็มพื้น ในสภาพศพนอนหงายเสื้อยืดสีเหลือง กางเกงขาสั้นสีขาว รองเท้าแตะ ไม่พบเอกสารติดตัว
จากการสอบสวนพยานที่เห็นเหตุการณ์ ทราบว่า ระหว่างที่ขับรถผ่านมาบริเวณถนนรัชดาภิเษก ฝั่งขาเข้า พบเห็นบุคคลทะเลาะวิวาทกัน โดยชายผู้ก่อเหตุ สวมเสื้อสีแดงเลือดหมูและกางเกงขาสั้น จึงจอดรถลงมาเพื่อจะห้ามปราม แต่ปรากฏว่าชายคนดังกล่าวได้วิ่งหนีไปแล้ว ในขณะที่ผู้เสียชีวิตนั้นค่อย ๆ ทรุดตัวลงนอนกับพื้นหายใจรวยริน จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ แต่เสียชีวิตเสียก่อน
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ทราบจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบริเวณตึกใกล้เคียงจุดเกิดเหตุว่า ผู้ก่อเหตุเป็นคนไร้บ้านเช่นกัน ทั้งสองมักอาศัยอยู่ในละแวกริมถนนรัชดาภิเษก มักมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำ โดยหลังเกิดเหตุพบเห็นชายผู้ก่อเหตุคนดังกล่าวเดินหลบหนีเข้าไปในซอยรัชดาภิเษก 18 เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนจึงออกติดตามแต่ไม่พบตัว
เจ้าหน้าที่สืบสวน สน.สุทธิสาร พยามเร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณดังกล่าว เพื่อเป็นพยานหลักฐานในการออกหมายจับผู้ก่อเหตุ พร้อมมอบหมายให้มูลนิธิร่วมกตัญญูนำศพส่งนิติเวช โรงพยาบาลรามาธิบดี ชันสูตรพลิกศพต่อไป
ต่อมา ที่ สน.สุทธิสาร หลังจับกุมมือมีด ทราบชื่อต่อมาว่า นายเอกฤทธิ์ หรือ บอล อายุ 35 ปี ให้การรับสารภาพ อ้างว่า คนตายนำไม้มาฟาดที่หัวโดยไม่ทราบเรื่อง ตนเข้าใจว่าผู้ตายมีปัญหาทางเรื่องระบบประสาท ด้วยความโมโหจึงใช้มีดแทงก่อนจะหลบหนี ยืนยันว่าไม่เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันมาก่อน แต่ถูกคนตายทำร้ายร่างกายจึงต้องแทงเอาคืน
ทั้งนี้ ฝ่ายสืบสวนได้ทำการตรวจ ATK เบื้องต้นผลปรากฏว่านายเอกรินทร์ป่วยเป็นโควิด-19 เจ้าหน้าที่จึงสั่งให้แยกสื่อมวลชนและคนที่ไม่เกี่ยวข้องออก โดยพนักงานสอบสวนจะต้องสอบสวนอย่างละเอียดอีกครั้ง