ประยุทธ์ แถลงดีเดย์! 1 พ.ย. 64 เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวฉีดวัคซีนครบโดส "ไม่ต้องกักตัว"

ประยุทธ์ แถลงดีเดย์! 1 พ.ย. 64 เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวฉีดวัคซีนครบโดส "ไม่ต้องกักตัว"

ประยุทธ์ แถลงดีเดย์! 1 พ.ย. 64 เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวฉีดวัคซีนครบโดส "ไม่ต้องกักตัว"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"บิ๊กตู่" ประกาศดีเดย์ 1 พ.ย. 64 เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวจากต่างชาติที่ฉีดวัคซีนโควิดครบโดสแล้ว "โดยไม่ต้องกักตัว"

หลังจากเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 64 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เคยออกแถลงการณ์ "ตั้งเป้าเปิดประเทศไทยให้ได้ภายใน 120 วัน" ส่วนเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญๆ หากพร้อมได้เร็วกว่า ก็ควรทยอยเปิดให้ได้เร็วกว่านั้น ซึ่งกำหนดการเปิดประเทศใน 120 วันจะครบในวันที่ 13 ต.ค.นี้

อ่านเพิ่มเติม : นายกฯ ลั่น ตั้งเป้าเปิดประเทศให้ได้ภายใน 120 วัน แย้มนำร่องที่ภูเก็ตก่อน

ล่าสุดเมื่อเวลา 20.30 น. ที่ผ่านมาของวันนี้ (11 ต.ค. 64) พล.อ.ประยุทธ์ ออกแถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ทรท.) โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

"พี่น้องประชาชนที่เคารพรักทุกท่านครับ

หนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมาเราได้ผ่านความท้าทายที่หากไม่นับช่วงเวลาศึกสงครามนี่ถือเป็นความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นวิกฤตการณ์ที่ไม่มีใครในประเทศไม่ได้รับผลกระทบ และเช่นเดียวกันก็ไม่มีประเทศไหนในโลกที่ไม่ได้รับผลกระทบ

ที่ผ่านมาเป็นความหนักใจที่สดุในชีวิตของผมเองด้วยที่ต้องตัดสินใจเลือกระหว่างปกป้องชีวิตคน กับ ปกป้องการทํามาหากิน เป็น 2 ทางเลือกที่ไม่สามารถแยกขาดออกจากกันได้ เมื่อเราเลือกที่จะปกป้องชีวิตประชาชน เรากลับต้องทําให้ชีวิตเหล่านั้นพบเจอกับความยากลําบากในการทํามาหาเลี้ยงชีวิต ต้องอยู่อย่างไม่มีรายได้หรือหากเราเลือกที่จะปกป้องการทํามาหากินตามปกติของประชาชนเราก็คงต้องเจอกับการสูญเสียชีวิตที่อาจจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อน เพื่อนบ้าน หรือแม้กระทั่งคนที่เป็นเสาหลักที่หาเลี้ยงครอบครัวเรา

การต้องเจอกับทางเลือกแบบนี้ทําให้เราต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ช้าไม่ได้ และเราทําแบบรอดูสถานการณ์ก่อนไม่ได้ ดังนั้นตั้งแต่แรกเริ่มที่เราต้องเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผมเลือกที่จะไม่ยอมให้มันมาพรากเอาชีวิตของพี่น้องคนไทยไป เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก

เพราะฉะนั้น ผมได้ตัดสินใจอย่างชัดเจนแน่วแน่ ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญทางด้านสาธารณสุขที่ยอดเยี่ยมของเรา ที่มีอยู่มากมายหลายท่าน เราลงมือทำอย่างรวดเร็ว ด้วยการใช้มาตรการที่เข้มงวดต่างๆ พร้อมกับขอความร่วมมือจากประชาชนคนไทย

ด้วยความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนในสังคม เผชิญหน้ากับวิกฤตที่เกิดขึ้น วันนี้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกในการปกป้องรักษาชีวิตของประชาชน

และด้วยความเสียสละอย่างมหาศาล อดทนเจอกับความยากลำบากในการทำมาหากิน สูญเสียรายได้ สูญเสียเงินเก็บ ธุรกิจพัง สิ่งเหล่านี้ คือ สิ่งที่พวกเราแลกไป เพื่อรักษาชีวิตของพ่อแม่พี่น้อง และเพื่อนของเราเอาไว้ ให้พวกเขายังคงอยู่กับเราในวันนี้

วันนี้ ความเสี่ยงในเรื่องการสูญเสียชีวิตที่จะเกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย กำลังค่อยๆ ลดลง ถึงแม้ว่าความเสี่ยงนั้นจะยังมีอยู่ และเรายังต้องระวังรักษาความสามารถของระบบสาธารณสุข โรงพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ของเราอยู่ก็ตาม

ตอนนี้ ถึงเวลาแล้วที่เราต้องค่อยๆ เตรียมตัว กล้าที่จะเผชิญหน้ากับโควิด-19 โดยมีความพร้อมเรื่องยารักษาและวัคซีนป้องกันมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปอีกไม่นาน เราก็จะต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่กับมันเหมือนกับโรคภัยอื่นๆ ที่กลายเป็นโรคประจำถิ่น

วันนี้ ผมอยากประกาศหนึ่งก้าวเล็กๆ แต่เป็นก้าวที่สำคัญ ที่เรากำลังจะเดินหน้าบนเส้นทางที่จะช่วยให้พี่น้องประชาชน สามารถกลับมาทำมาหาเลี้ยงตัวเองกันได้อีกครั้ง

ในช่วงหนึ่งถึงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศที่เป็นนักท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไทย ต่างค่อยๆ เริ่มอนุญาตให้ประชาชนของเขาเดินทางได้โดยไม่มีเงื่อนไขที่ยุ่งยากมากมาย อย่างเช่น อังกฤษ ตอนนี้เพิ่งจะอนุญาตให้ประชาชนเดินทางมาประเทศไทยได้โดยไม่ยุ่งยาก หรืออย่าง สิงคโปร์ และออสเตรเลีย ก็เพิ่งเริ่มผ่อนคลายเงื่อนไขในการเดินทางไปต่างประเทศของประชาชน

ความคืบหน้าที่เกิดขึ้นแบบนี้ เราเองแม้ยังต้องระมัดระวัง แต่ก็ต้องเดินหน้าให้ไว เพื่อไม่ให้เสียโอกาสที่อย่างน้อยเราจะสามารถดึงนักท่องเที่ยวมาได้บ้าง ในช่วงเทศกาลเดินทางท่องเที่ยววันหยุดสิ้นปี ใน 3 เดือนข้างหน้านี้ เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการทำมาหากินของประชาชนนับล้านๆ คน ในภาคการท่องเที่ยว การเดินทาง และภาคธุรกิจพักผ่อนหย่อนใจ และบันเทิง รวมถึงภาคธุรกิจอื่นอีกมากมายที่เกี่ยวข้อง

เพราะฉะนั้น วันนี้ ผมได้สั่งการให้ ศบค. และ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมพิจารณา โดยตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเริ่มเปิดรับการเดินทางเข้าประเทศไทย โดยไม่ต้องกักตัว สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และเดินทางเข้าประเทศไทยโดยทางอากาศ โดยมาจากประเทศที่เรากำหนดว่า เป็นประเทศความเสี่ยงตํ่า

เราจะขอเพียงแค่ เมื่อเดินทางเข้าประเทศไทย ทุกคนต้องแสดงตัวว่าปลอดเชื้อโควิด-19 โดยต้องมีหลักฐานผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ซึ่งทำการตรวจก่อนเดินทางออกจากประเทศต้นทาง และจะมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 อีกครั้ง เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย หลังจากนั้นจึงสามารถเดินทางไปพื้นที่ต่างๆ ได้อย่างอิสระ เช่นเดียวกับที่คนไทยปกติทั่วไปสามารถทำได้

ในเบื้องต้น เราเริ่มต้นกำหนดรายชื่อประเทศความเสี่ยงตํ่า ที่จะสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้โดยไม่ต้องกักตัว ไว้ที่อย่างน้อย 10 ประเทศ ซึ่งจะรวมประเทศอย่างเช่น อังกฤษ สิงคโปร์ เยอรมนี จีน และอเมริกา โดยเราตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนประเทศให้มากขึ้นอีกภายในวันที่ 1 ธันวาคม และหลังจากนั้นภายในวันที่ 1 มกราคม เราจะเพิ่มจำนวนประเทศให้มากขึ้นอย่างกว้างขวาง

ส่วนผู้ที่มาจากประเทศที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อประเทศความเสี่ยงตํ่า เรายังให้การต้อนรับเข้าประเทศไทย แต่จำเป็นต้องมีการกักตัวตามเงื่อนไขและข้อกำหนด

พร้อมกันนี้ ภายในวันที่ 1 ธันวาคม เราจะพิจารณาอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารได้ และจะพิจารณาอนุญาตให้สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และสถานบันเทิง เปิดให้บริการได้ ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุขที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนและกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว การพักผ่อนและบันเทิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เรากำลังจะเข้าสู่เทศกาลเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสปีใหม่

ผมรู้ว่าการตัดสินใจแบบนี้มีความเสี่ยง ที่เกือบจะแน่นอนเลยว่า เมื่อเราเริ่มต้นการผ่อนคลายต่างๆ จะทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นการชั่วคราว ซึ่งเราต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประเมินดูว่า เราจะรับมือกับสถานการณ์นั้นอย่างไร เราต้องไม่ปล่อยโอกาสนี้ เพราะถ้าเราต้องเสียโอกาสในช่วงเวลาทองของการทำมาหากินไปอีกเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ผมคิดว่าประชาชนคงรับมือไม่ไหวอีกต่อไป

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเราเห็นว่าในสองสามเดือนหรือสี่เดือนข้างหน้า มีสายพันธุ์ใหม่ที่อันตรายมากๆ เกิดขึ้นอีก แน่นอนว่าเราก็ต้องจัดมาตรการที่เหมาะสมและพอเหมาะพอดี มาจัดการคุมสถานการณ์เอาไว้ให้ได้ เมื่อเรารู้ว่าไวรัสนี้ได้ทำให้ทั่วทั้งโลกต้องตกใจมาแล้วหลายรอบ ดังนั้น เราต้องพร้อมรับมือหากมันเกิดขึ้นอีก

เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ผมได้ตั้งเป้าที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศโดยไม่ต้องกักตัว ให้ได้ภายใน 120 วัน พร้อมกับเร่งเครื่องการฉีดวัคซีนให้ประชาชน

วันนี้ ผมขอใช้โอกาสนี้ ชื่นชมความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของเจ้าหน้าที่และบุคลากรสาธารณสุขทุกท่าน เจ้าหน้าที่และผู้ปฏิบัติงานส่วนงานอื่นๆ รวมถึงพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน สำหรับความร่วมมือของทุกท่านที่ตอบสนองต่อคำร้องขอของผมเมื่อเดือนมิถุนายน

• หลังจากที่เราตั้งเป้า 120 วัน ก็ได้มีความพยายามอย่างเต็มที่ ทำทุกวิถีทางเพื่อจัดหาวัคซีนมาให้ได้เพิ่มมากขึ้น และแย่งชิงกับประเทศอื่น เพื่อให้เราได้รับส่งมอบวัคซีนเข้ามา ซึ่งทั้งหมดนี้ เราประสบความสำเร็จอย่างมาก การรับส่งมอบวัคซีนของประเทศไทย เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 3 เท่าในทันที จากที่เดือนพฤษภาคม เราได้รับส่งมอบวัคซีน 4 ล้านโดส กลายเป็นเราได้รับส่งมอบวัคซีนถึง 12 ล้านโดสในเดือนกรกฎาคม และได้รับส่งมอบวัคซีนอีกถึงเกือบ 14 ล้านโดสในเดือนสิงหาคม และวันนี้ เราจะได้รับส่งมอบวัคซีนเข้าประเทศไทยถึงมากกว่า 20 ล้านโดสต่อเดือน ไปจนถึงสิ้นปี รวมเป็นวัคซีนจำนวนมากกว่า 170 ล้านโดส เกินเป้าหมายที่เราตั้งไว้เป็นอย่างมาก

• ในขณะเดียวกัน เพื่อที่จะสนับสนุนเป้าหมาย 120 วัน เจ้าหน้าที่และบุคลากรสาธารณสุขได้ทำงานกันอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย เร่งเครื่องการฉีดวัคซีน รวมทั้งพี่น้องประชาชนต่างก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ในการลงทะเบียนรับการฉีดวัคซีน ถึงแม้ว่าจะมีความไม่สะดวกสบายในเรื่องของการนัดหมายบ้างก็ตาม ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือ จากเดิมที่เราฉีดวัคซีนได้อยู่ที่ประมาณ 80,000 โดสต่อวัน เมื่อเดือนพฤษภาคม แต่หลังจากการตั้งเป้า 120 วัน เพียงหนึ่งเดือน จำนวนการฉีดวัคซีนต่อวันของประเทศไทยพุ่งขึ้นทันที ทีมสาธารณสุขของไทยดันยอดการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า และดันขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นที่ประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่ฉีดวัคซีนได้เร็วที่สุดในโลก ปัจจุบันเฉลี่ยแล้วเราฉีดวัคซีนได้มากกว่า 700,000 โดสต่อวัน และในบางวันเราฉีดวัคซีนได้มากเกินกว่า 1 ล้านโดสก็ยังมี

ภายหลังการตั้งเป้า 120 วัน เปิดประเทศโดยไม่ต้องกักตัว เมื่อกลางเดือนมิถุนายน เพียงไม่นานทั้งโลกต้องเจอกับการแพร่ระบาดที่รุนแรงของสายพันธุ์เดลตาที่ทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นสูงมากทั้งโลกในช่วงเดือนสิงหาคม เช่นเดียวกับในประเทศไทย ตอนนั้นหลายคนคงทำใจแล้วว่าเราไม่น่าจะสามารถเปิดประเทศโดยไม่ต้องกักตัวได้ภายในปีนี้

ตอนนี้ แม้ว่าสถานการณ์ในหลายๆ ประเทศยังคงต่อสู้กับเดลตาอยู่ แต่การที่เรากำลังจะสามารถเริ่มเปิดให้เข้าประเทศไทยได้โดยไม่ต้องกักตัว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป การที่เราทำแบบนี้ได้ แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการที่คนไทยร่วมมือกัน ทำงานด้วยความมุ่งมั่น และเป็นหนึ่งเดียว ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข หน่วยงาน องค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงความร่วมมือกันของประชาชนคนไทยทุกคน

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ ประเทศไทยได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนสามารถภูมิใจได้กับการมีส่วนร่วมที่ทำให้ความสำเร็จนี้เกิดขึ้น และเกิดขึ้นถูกเวลา เพราะเป็นช่วงเวลาพร้อมๆ กับที่ประเทศอื่นเริ่มผ่อนคลายเงื่อนไขและข้อจำกัดในการเดินทางของประชาชนของเขาด้วยเหมือนกัน นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่เราจะเริ่มเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวให้เข้าประเทศไทยได้โดยไม่ต้องกักตัว

ขอบคุณครับ"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook