สภาวิศวกรตรวจสอบซากอาคาร 6 ชั้นถล่ม ย่านประชาชื่น พบใช้รถแบคโฮสกัดผิดขั้นตอน
สภาวิศวกรตรวจสอบซากอาคาร 6 ชั้นถล่ม ย่านประชาชื่น พบใช้รถแบคโฮสกัดผิดขั้นตอน จ่อเรียกตัววิศวกรผู้ควบคุมงานมาชี้แจง
จากกรณีอาคารที่พักอาศัย 6 ชั้น ถนนประชาชื่น ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี ที่ตั้งอยู่ระหว่างซอยประชาชื่นนนท์ 7 กับ 8 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งอยู่ในระหว่างดำเนินการรื้อถอน เกิดถล่มทับรถแบคโฮที่มีนายสำราญ อายุ 42 ปี กำลังเข้ารื้อซากอาคาร เป็นเหตุให้นายสำราญถูกคานของซากอาคารล้มทับรถแบคโฮและทับขาข้างขวาจนได้รับบาดเจ็บ และ นายจำลอง คนงานชายชาว ต.สุรินทร์ อายุ 30 ปี ถูกซากอาคารถล่มทับ โดยผู้บาดเจ็บยังสามารถโต้ตอบรู้เรื่อง เจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ้งพร้อมอุปกรณ์ตัดถ่างเร่งเข้าช่วยเหลือ โดยเหตุเกิดเมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 12 ตุลาคม 2564
หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่เทศบาลนครนนทบุรีได้สั่งระงับการรื้อถอนซากอาคารดังกล่าวในทันที ส่วนผู้รับเหมาและผู้ควบคุมงานในเวลาต่อมาได้เดินทางเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน สภ.รัตนาธิเบศร์ ในเบื้องต้นแล้วเมื่อคืนที่ผ่านมา
วันที่ 13 ตุลาคม 2564 เมื่อเวลา 14.00 น. ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกสภาวิศวกร พร้อมคณะ และนายคม แสงบำรุง ผอ.สำนักการช่างเทศบาลนครนนทบุรี พ.ต.อ.เมษนนท์ นาขวัญ ผกก.สภ.รัตนาธิเบศร์ ร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบหาสาเหตุที่ทำให้ซากอาคาร 6 ชั้นถล่มลงมาทับคนงาน
โดย ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกสภาวิศวกร เปิดเผยว่า จากการเข้าตรวจสอบสภาพในที่เกิดเหตุและสอบถามผู้ควบคุมงานในวันที่เกิดเหตุ พบว่าใช้วิธีการเข้ารื้อถอนซากอาคารแบบลัดขั้นตอน ไม่เป็นไปตามวิธีการที่ถูกต้อง คือ ต้องสกัดจากชั้นบนลงมาชั้นล่าง และต้องสกัดที่ละชั้นเพื่อความปลอดภัย แต่มาทราบจากผู้รื้อถอนว่าได้ดำเนินการรื้อถอนลัดขั้นตอน โดยใช้รถแบคโฮแขนสั้นเข้าไปสกัดเสาที่ชั้นล่างเพื่อจะให้อาคารทรุดตัวลงมาด้วยความรวดเร็ว แต่ปรากฏว่าเสาอาคารในจุดนั้นขาดความสมดุลจึงล้มเอียงผิดองศาลงมาทับรถแบคโฮในทันที โชคดีเป็นอย่างมากที่คนขับรถแบคโฮไม่เสียชีวิต เพราะถ้าองศาขยับเพิ่มอีกเพียงนิดเดียวคงเป็นอันตรายถึงกับชีวิตแน่นอน ซึ่งตามขั้นตอนที่ถูกต้องใช้รถแบคโฮแขนยาวสกัดเสาทีละชั้นจากชั้นบนลงชั้นล่าง ไม่ใช่ลัดขั้นตอนด้วยการใช้รถแบคโฮแขนสั้นไปสกัดเสาชั้นล่างเพื่อให้ซากอาคารลงถล่มมาวัดดวงแบบนี้ เพียงเพราะไม่มีรถแบคโฮแขนยาวมาใช้สกัดทีละชั้นให้ถูกตามวีธี
ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าวต่ออีกว่า จากการตรวจสอบขั้นตอนการรื้อถอน พบว่าอาคารทั้งหมดเป็นอะพาร์ตเมนต์รูปตัวยู ได้ทำการรื้อถอนอาคารแรกไปเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2564 และรื้ออาคารตรงกลางที่เป็นตัวเชื่อมไปเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2564 จึงเหลืออาคารเดียวที่เกิดเหตุ ซึ่งวิธีการรื้อถอนไม่ถูกต้องตามหลักวิศวกร ไม่มีแบบแผนในการนำเสนอวิธีการรื้อถอนและเครื่องจักรไม่เหมาะสม การรื้อถอนวิศวกรต้องควบคุมงานอย่างเข้มงวดและคอยคุมคุมงานในที่เกิดเหตุและอยู่ควบคุมดูแลความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด ซึ่งทางสภาวิศวกรจะมีการเรียกตัววิศวกรผู้ควบคุมงานในส่วนนี้มาชี้แจงต่อไป เพราะวิศวกรที่มีใบประกอบวิชาชีพทุกคนมีผลผูกพันกับสภาวิศวกร ซึ่งสามารถเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพนี้ได้ ถ้าทำให้สภาวิศวกรได้รับความเสียหายจากการไม่ปฎิบัติตามจรรยาบรรณในวิชาชีพอย่างเคร่งครัด การก่อสร้างว่ายากแล้ว การรื้อถอนยิ่งยากกว่า
ทางด้าน นายคม แสงบำรุง ผอ.สำนักการช่างเทศบาลนครนนทบุรี เปิดเผยว่า ในเบื้องต้นพบว่ามีการดำเนินการรื้อถอนซากอาคารผิดขั้นตอนจริง ไม่เป็นไปตามหลักที่ได้แจ้งกับทางเทศบาลไว้ จนเป็นเหตุให้ซากอาคารลงมาทับรถแบคโฮที่มีคนงานอยู่จนได้รับบาดเจ็บ ทางเทศบาลจึงสั่งระงับให้หยุดทำการรื้อถอนต่อไปโดยไม่มีกำหนด จนกว่าทางวิศวกรผู้ควบคุมงานจะนำแผนงานและขั้นตอนการรื้อถอนที่ปลอดภัยมาเสนอให้กับทางเทศบาลพิจารณาอีกครั้ง จึงจะอนุญาตให้เข้าทำการรื้อถอนได้ต่อไป
ทางด้าน พ.ต.อ.เมษนนท์ นาขวัญ ผกก.สภ.รัตนาธิเบศร์ กล่าวว่า หลังจากที่ผู้ควบคุมงานรื้อถอนได้เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนแล้ว ในตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ได้มีการแจ้งข้อหาใดๆกับใครในตอนนี้ เนื่องจากต้องรอให้ทางเทศบาลนครนนทบุรี ซึ่งเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบตามอำนาจหน้าที่ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและสาเหตุที่เกิดขึ้นเสียก่อน จากนั้นทางเทศบาลนครนนทบุรีจะต้องดำเนินการกล่าวโทษร้องทุกข์กับทางพนักงานสอบสวนตามความผิด พรบ.ควบคุมอาคารเสียก่อน ทางพนักงานสอบสวนจึงจะดำเนินการเรียกตัวผู้มีส่วนดูแลรับผิดชอบโครงการรื้อถอนอาคารดังกล่าวมารับทราบข้อกล่าวตามความผิดที่เจ้าหน้าที่เทศบาลนครนนทบุรีได้กล่าวโทษร้องทุกข์ต่อไป