พนิชชี้เขมรหมิ่นไทยไม่ส่งทักษิณให้ศาลตีความ

พนิช ชี้ กัมพูชาไม่ส่งหนังสือส่งตัวผู้ร้ายให้ศาล "เขมร" ตีความ ถือเป็นการดูหมิ่นไทย

(12พ.ย.) นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงขั้นตอนการดำเนินการภายหลังจากฝ่ายกัมพูชาส่งจดหมายปฏิเสธที่จะส่ง ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกลับไทย ตามคำขอ ให้ส่งตัวอดีตนายกฯ ตามสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนไทย-กัมพูชา ว่า การตอบจดหมายกลับมาโดยกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาเช่นนี้ไม่ได้เป็นไปตาม หลักกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะกัมพูชาไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่ต้องนำคำร้องของไทย

ส่งไปยังอัยการสูงสุดและศาลของกัมพูชาก่อน เพื่อให้ฝ่ายตุลาการของกัมพูชาพิจารณาว่าจะต้องส่งตัวบุคคลดังกล่าวกลับไทย ตามคำขอหรือไม่ ซึ่งหากฝ่ายตุลาการของกัมพูชาพิจารณาแล้วเห็นว่าต้องส่งตัวอดีตนายกฯกลับไทย ตามคำขอ ก็ต้องดำเนินการส่งเรื่องให้ฝ่ายบริหารของกัมพูชาพิจารณาอีกครั้ง ก่อนที่จะทำหนังสือส่งมายังประเทศไทยว่าจะส่งตัวบุคลดังกล่าวกลับไทยตามคำขอ หรือไม่

"เหตุการณ์เมื่อวันที่ 11 พ.ย. ปรากฏว่า ภายหลังกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาได้รับหนังสือขอให้ส่งตัวอดีตนายกฯ ตามสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนฯ จากไทย ในช่วงเวลา ประมาณ 10.00-11.00น. แล้วนั้น ทางกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาก็ส่งจดหมายตอบกลับมายังไทยภายในเวลาไม่กี่ ชั่วโมง โดยไม่ผ่านศาลหรือกระบวนการยุติธรรมของกัมพูชาแต่อย่างใด ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจและน่าเสียใจ เพราะขัดต่อหลักกฎหมายระหว่างประเทศ" นายพนิช กล่าวและว่า
หลังจากได้ จดหมายตอบกลับมาอย่างนี้แล้ว สิ่งที่เราต้องดำเนินการคือ กรมสนธิสัญญาและกฎหมายและอัยการสูงสุดของไทย จะต้องพิจารณาว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร ส่วนคำถามที่ว่า อดีตนายกฯ ของไทยอาจบินออกจากกัมพูชาแล้วนั้น ไม่ใช่ประเด็น เพราะไม่ว่า อดีตนายกฯ จะอยู่หรือไม่อยู่ในกัมพูชา เราก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายระหว่างประเทศต่อไป

นายพนิช กล่าวถึงกรณีเนื้อหาตอนหนึ่งในจดหมายจากกัมพูชาระบุกระบวนการทางกฎหมายไทย ที่ดำเนินคดีต่อพ.ต.ท.ทักษิณ มีแรงจูงใจจากเรื่องทางการเมืองว่า จดหมายที่กัมพูชาส่งมานั้น เราสามารถอธิบายกลับได้ทุกข้อ โดยเฉพาะกระบวนการตามกฎหมายของไทย ซึ่งตัวอดีตนายกฯ ก็เคยให้การยอมรับโดยการเข้าสู่กระบวนการต่อสู้คดีมาแล้ว หากอดีตนายกฯ ไม่เคยต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมไทยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนจะส่งเอกสารเพิ่มเติมอย่างไรหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป