เชือดซะเลย! กทม. สั่งปิด 2 ร้านอาหาร ฐานฝ่าฝืนกฎหมายให้ลูกค้าดื่มเหล้าในร้าน
กรุงเทพมหานคร สั่งปิด 2 ร้านอาหาร ที่ฝ่าฝืนข้อกำหนดด้วยการเปิดให้มีการบริโภคสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
วันนี้ (20 ต.ค. 64) นายขจิต ชัชวานิชย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า กรุงเทพมหานคร โดยสำนักอนามัย สำนักเทศกิจ สำนักงานเขต 50 แห่ง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ท้องที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดชุดบูรณาการลงพื้นที่ตรวจสอบและกำกับการปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า และคอมมูนิตี้มอลล์ พร้อมทั้งเน้นย้ำมาตรการความปลอดภัยสำหรับองค์กร (Covid Free Setting) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งได้จัดประชุมสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยข้อมูลการลงพื้นที่ตรวจสอบ 15-17 ต.ค. 64 จากสถานประกอบการที่ทำการตรวจสอบจำนวน 247 แห่ง มี 244 แห่ง ที่ปฏิบัติตามมาตรการฯ ครบถ้วน และพบว่ามีการฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตามมาตรการฯ รวมจำนวน 3 แห่ง ในพื้นที่เขตจตุจักร เขตบึงกุ่ม และเขตวัฒนา ประกอบด้วย
- การควบคุมจำนวนผู้ใช้บริการไม่ให้แออัด (ความหนาแน่นอย่างน้อย 1 คน ต่อ 4 ตารางเมตร) หรือพิจารณากำหนดมาตรการลดเวลาในการใช้บริการให้สั้นลงเท่าที่จำเป็น โดยถือหลักหลีกเลี่ยงการติดต่อสัมผัสระหว่างกัน
- ให้เว้นระยะนั่งหรือยืนห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบพบว่ามีสถานประกอบการฝ่าฝืนประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง สั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 44) ลงวันที่ 15 ต.ค. 64 ข้อ 1.5 โดยตรวจพบว่ามีการบริโภคสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ให้แก่ผู้รับบริการ จึงได้ออกคำสั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราวในพื้นที่เขตปทุมวันและคลองเตย จำนวน 2 แห่ง ดังนี้
วันที่ 16 ต.ค. 64 ร้านอาหารในอาคารโคเรียทาวน์ เขตคลองเตย มีการจำหน่ายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในร้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี ได้เข้าตรวจสอบพบการกระทำผิดกรณีฝ่าฝืนประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง สั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว ฉบับที่ 44 พร้อมได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานควบคุมโรคตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558
โดยสำนักงานเขตคลองเตยได้ตรวจสอบการประกอบกิจการดังกล่าว ได้รับอนุญาตจัดตั้งสถานที่จำหน่ายอาหาร ตาม พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ. 2535 พร้อมนี้ สำนักงานเขตคลองเตยได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ตรวจสอบและเฝ้าระวังร้านดังกล่าวมิให้มีการกระทำผิดกรณีดังกล่าวอีก ทั้งนี้ กรณีการฝ่าฝืนดังกล่าวถือเป็นความผิดตามมาตรา 52 แห่ง พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
วันที่ 18 ต.ค. 64 ร้านอาหารแห่งหนึ่งในศูนย์การค้า ถนนพระราม 1 เขตปทุมวัน สน.ปทุมวัน ตรวจสอบพบว่ามีการฝ่าฝืนบริโภคสุราภายในร้าน จึงได้จับกุมผู้กระทำความผิด ร่วมกันมั่วสุมในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่โรคในสถานที่แออัด ณ ที่ใดๆ ทั่วราชอาณาจักร ตามประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง เรื่อง ห้ามชุมชุม กระทำกิจกรรม การมั่วสุม ซึ่งก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 30 กันยายน 2564 อยู่ระหว่างส่งฟ้องศาล
สำนักงานเขตปทุมวันได้ตรวจสอบร้านดังกล่าวแล้วพบว่า ประกอบการโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงห้ามประกอบกิจการจนกว่าจะได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น ตาม พ.ร.บ.การสาธารณสุข และสั่งปิดสถานประกอบการดังกล่าว 7 วัน ระหว่างวันที่ 19 - 25 ต.ค. 64 ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558
ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์ สร้างความเข้าให้ผู้ประกอบการ พนักงาน ผู้ให้บริการ ผู้รับบริการ และประชาชน เกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการในข้อกำหนดของทางราชการเพื่อป้องกันควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 อาทิ การปฏิบัติตามมาตรการการเว้นระยะห่างระหว่างกัน หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น ให้สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา การจัดให้มีจุดบริการเจลล้างมืออย่างทั่วถึงเพียงพอ และจัดให้มีเครื่องมือสำหรับตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้า-ออกสถานที่
อย่างไรก็ตาม หากประชาชนพบว่ามี กิจกรรม/กิจการ ใด ที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) รวมถึงการจัดกิจกรรม หรือรวมตัวทำกิจกรรมที่สุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดโควิด-19 ในสถานที่ต่างๆ หรือสถานที่ที่เป็นแหล่งมั่วสุมหรือการรวมตัวเล่นการพนันในพื้นที่ สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่สายด่วน กทม. 1555 หรือสายด่วนโควิด 50 เขต
ซึ่งนอกจากการรับแจ้งเรื่องขอเข้าสู่ระบบการรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ได้ตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว ยังได้เพิ่มภารกิจการรับแจ้งเรื่องร้องทุกข์อื่นๆ ที่เกี่ยวกับโควิด-19 ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้มีการกระทำผิดกฎหมายในพื้นที่ และเป็นไปตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กำหนดอย่างเคร่งครัด