รวบสาวปลอมเฟซบุ๊ก หลอกชายให้หลงรัก อ้างจะยอมหมั้นหมายกับผู้เสียหาย สุดท้ายสูญเงินกว่า 10 ล้าน
ตร.กองปราบปราม จับกุมสาวแสร้งรักหลอกชายหนุ่ม สูญเงินกว่า 10 ล้านบาท
วันนี้ (7 พ.ย. 64) ตำรวจกองปราบปราม จับกุม นางสาวชนกนันท์ (สงวนนามสกุล) อายุ 27 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดบุรีรัมย์ที่ 252/2564 ลงวันที่ 6 พ.ย.2564 กล่าวหาว่า “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม โดยน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และฉ้อโกง” ซึ่งจับกุมได้บริเวณหน้าโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองพัทยา โดยเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การสารภาพตลอดข้อกล่าวหา เจ้าหน้าที่จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
โดยพฤติการณ์สืบเนื่องมาจากเมื่อประมาณต้นเดือน มิ.ย. 64 ผู้เสียหายรู้จักกับผู้ต้องหาผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยผู้ต้องหาใช้รูปหญิงสาวคนหนึ่ง อ้างชื่อ น.ส.นัดดา ในช่วงแรกผู้เสียหายโอนเงินตามที่ผู้ต้องหาร้องขอ เนื่องจากผู้ต้องหาอ้างว่ามารดาเดือดร้อนต้องการใช้เงิน ผู้เสียหายจึงโอนเงินผ่านเข้าบัญชีธนาคารจำนวนหลายครั้ง รวมมูลค่าประมาณ 210,700 บาท ต่อมาผู้ต้องหาทำทีพูดคุยตกลงหมั้นหมายกับผู้เสียหาย ด้านผู้เสียหายจึงยกเงินจำนวนดังกล่าวให้ โดยถือว่าเป็นค่าสินสอดทองหมั้น
จากนั้นผู้เสียหายกับผู้ต้องหาติดต่อพูดคุยกันผ่านเฟซบุ๊กเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อวันที่ 5 ส.ค. 64 ผู้เสียหายตรวจพบว่าระหว่างวันที่ 19-30 มิ.ย. 64 ยอดเงินในบัญชีธนาคารหายจำนวน 2,641,000 บาท ซึ่งถูกโอนไปยังบัญชีผู้อื่น จำนวน 10 ครั้ง เป็นจำนวน 2,500,000 บาท ผู้เสียหายจึงไปแจ้งความให้พนักงานสอบสวนติดตามหาตัวคนร้าย โดยระหว่างนั้นผู้ต้องหาได้ทำการติดต่อมายังผู้เสียหายและยอมรับว่าตนเป็นคนโอนเงินจำนวนดังกล่าวไปเพื่อซื้อที่ดินกับต้นไม้ พร้อมขอร้องไม่ให้ผู้เสียหายดำเนินคดีกับตน โดยอ้างว่าจะเป็นครอบครัวเดียวกันกับผู้เสียหายอยู่แล้ว และในส่วนของเงินที่เอาไปจะรีบนำมาคืนให้โดยเร็ว ผู้เสียหายจึงไม่ดำเนินคดีตามคำขอของผู้ต้องหา
ต่อมาผู้ต้องหาออกอุบายหลอกลวงผู้เสียหายอีกครั้ง อ้างว่าอยากเปิดโรงงานและจดทะเบียนการค้าเพื่อทำธุรกิจ จึงขอให้ผู้เสียหายช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ผู้เสียหายจึงให้ผู้ต้องหานำที่ดินของผู้เสียหายเนื้อที่ 9 ไร่ ประกาศขายในราคาไม่ต่ำกว่าไร่ละ 1,700,000 บาท หากขายได้ก็จะแบ่งเงินช่วยเหลือในการทำธุรกิจดังกล่าว ซึ่งต่อมาประมาณช่วงเดือน ต.ค. 64 ผู้ต้องหาอ้างกับผู้เสียหายว่าขายที่ดินแปลงดังกล่าวได้แล้วในราคา 16,700,000 บาท และได้นัดหมายให้ผู้เสียหายไปทำสัญญาโอนขายที่ดินให้กับผู้ซื้อรายหนึ่งที่สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ โดยในวันทำสัญญาโอนขายที่ดิน ผู้ต้องหาอ้างว่าผู้ซื้อโอนเงินค่าซื้อขายที่ดินครบถ้วนแล้ว ผู้เสียหายจึงยอมลงชื่อในสัญญาโอนขายที่ดินดังกล่าว
ภายหลังผู้เสียหายพบว่าผู้ต้องหามีพฤติกรรมเปลี่ยนไป จึงตรวจสอบยอดเงินในบัญชีธนาคารของตน แต่พบว่าไม่มีเงินค่าซื้อขายที่ดินโอนเข้าบัญชีธนาคารของผู้เสียหายแต่อย่างใด ผู้เสียหายจึงสอบถามไปยังผู้ซื้อที่ดิน ทราบว่าผู้ต้องหาได้เสนอขายที่ดินให้กับผู้ซื้อในราคาเพียง 7,500,000 บาท และในวันทำสัญญาโอนขายที่ดิน ผู้ซื้อยืนยันว่าได้มอบเงินสดจำนวนดังกล่าวกับผู้ต้องหาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยไม่ได้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารแต่อย่างใด ผู้เสียหายจึงเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน และพนักงานสอบสวนจึงรวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาตามหมายจับดังกล่าว