รวบตึงจันทร์ถึงศุกร์ รวมข่าวร้อนรอบสัปดาห์ 8-12 พ.ย.

รวบตึงจันทร์ถึงศุกร์ รวมข่าวร้อนรอบสัปดาห์ 8-12 พ.ย.

รวบตึงจันทร์ถึงศุกร์ รวมข่าวร้อนรอบสัปดาห์ 8-12 พ.ย.
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมามีหลายเรื่องราวที่เป็นประเด็นร้อนเกิดขึ้น วันนี้เรียงข่าวเล่าเรื่องจะขอพาไปทบทวนเรื่องเหล่านี้กันอีกสักครั้งหนึ่ง

ศาลรัฐธรรมนูญชี้ปฏิรูปสถาบัน = ล้มล้างการปกครอง

ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ข้อเสนอ 10 ข้อของกลุ่มราษฎรเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ เข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยให้เห็นผลว่ามีเจตนาแอบแฝง และขอให้เลิกกระทำเช่นนี้ในอนาคต

ก็มีนักวิชาการหลายคนมองว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวจะทำให้การนำเรื่องนี้มาพูดกันในวงกว้างทำไม่ได้อีกแล้ว และหลายคนก็ยังเชื่อว่าอาจทำให้การตีความครอบคลุมเกี่ยวกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ด้วย

ความกังวลดังกล่าวก็เป็นจริงขึ้นมาเมื่อนายณฐพร โตประยูร ที่เป็นผู้ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในประเด็นนี้เผยว่า จะนำคำวินิจฉัยดังกล่าวไปยื่นคำร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้งชี้มูลความผิดต่อพรรคก้าวไกลเพื่อให้มีการยุบพรรค เพราะพรรคก้าวไกลสนับสนุนการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

ขณะที่บรรดาองค์การและสโมสรนักศึกษา 23 องค์กร จากหลายมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ออกแถลงการณ์ร่วมกันว่าไม่เห็นด้วยต่อคำวินิจฉัยดังกล่าว และระบุว่าสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงมาถึงแล้ว และไม่มีใครอาจต้านทานได้

สจ.ดำ ฆ่ายกครัวก่อนยิงตัวเองตายตาม สมรักษ์เครียดต้องแบกหนี้

อีกเรื่องที่หลายคนให้ความสนใจ คือ การฆาตกรรมยกครัวเรือนของนายธวัชชัย ทองอ่อน หรือ ส.จ.ดำ อดีตสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ยิงภรรยาและลูกสาวอีก 2 คน ก่อนลงมือจบชีวิตตัวเอง ที่บ้านพักในเขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (10 พ.ย.)

เรื่องนี้ไปเกี่ยวพันกับอดีตนักมวยทีมชาติไทย นาวาตรี สมรักษ์ คำสิงห์ ที่เป็นคนกลางในเรื่องหนี้สินระหว่าง ส.จ.ดำ และเจ้าหนี้ ที่เพิ่งมีการเจรจาก่อนหน้าจะเกิดเหตุนี้ไม่นานว่าฝ่าย ส.จ.ดำ จะจ่ายหนี้ 2.5 ล้านบาท จากทั้งหมด 10 ล้านบาท แต่ก็มาเกิดเหตุนี้เสียก่อน ทำให้นาวาตรี สมรักษ์ ในฐานะคนกลาง ยอมรับว่าเหตุนี้อาจทำให้ตนต้องแบกรับภาระหนี้ดังกล่าว

ต่อมาอดีตนักมวยทีมชาติไทยรายนี้ก็ไปออกรายการโหนะกระแส โดยบอกว่าหลังจากนี้ตนจะบวชเพื่อเป็นกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับในฐานะเพื่อน

น้ำท่วมริมน้ำเจ้าพระยา เจอทะเลหนุนซ้ำ

มาต่อกันถึงเรื่องที่กระทบกับผู้คนในวงกว้าง ซึ่งก็ คือ เรื่องน้ำท่วมพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลกันบ้าง ที่จริงแล้วหลายจังหวัดทางภาคกลางยังคงมีพื้นที่ประสบภัยมาอย่างต่อเนื่องนานหลายเดือน เพราะน้ำจากทางเหนือที่ไหลมาเป็นปริมาณมาก แต่ที่ผ่านมากรุงเทพมหานครก็ยังไม่ได้รับผลกระทบนักเท่าใด จนกระทั่งสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วงที่ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น หรือ น้ำทะเลหนุน เมื่อบวกกับปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่มากอยู่แล้ว ทำให้น้ำทะลักเข้าท่วมหลายพื้นที่ 

หนึ่งในนั้นคือ วัดเขมาภิรตาราม อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี ที่พนังกั้นน้ำที่ทำจากกระสอบทรายพังลง ทำให้มีน้ำทะลักเข้ามา คล้ายกับสึนามิขนาดย่อม ทั้งพระและชาวบ้านก็ต้องรีบแก้ปัญหากันยกใหญ่ แต่ก็ไม่อาจต้านทานธรรมชาติได้ จึงมีภาพน้ำท่วมวัดให้เห็นออกมา

นอกจากนี้ หลายพื้นที่ในจังหวัดสมุทรปราการที่อยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยาก็ได้รับผลกระทบไม่น้อยหน้า ถนนหลายสาย อย่างเช่น ถนนปู่เจ้าสมิงพราย ถนนทางรถไฟสายเก่า ก็ถูกน้ำท่วมในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะจังหวัดสมุทรปราการเป็นจังหวัดสุดท้ายที่แม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน และอยู่ติดอ่าวไทย เมื่อแม่น้ำมีน้ำมากประกอบกับน้ำทะเลหนุน ก็เรียกได้ว่าต้องเผชิญภัยธรรมชาติเป็น 2 เท่าเลยทีเดียว

ส่วนที่กรุงเทพมหานคร ก็มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ทำให้ถนนหลายสายสัญจรไม่ได้ ขณะเดียวกันชาวบ้านหลายคนก็เผยว่าไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ จึงขนสินทรัพย์ขึ้นที่สูงไม่ทัน จนเกิดความเสียหาย

เหตุนี้ทำให้ พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ออกมาขออภัยประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เพราะระดับน้ำสูงกว่านี้คาดการร์ไว้ 50-60 เซนติเมตร และเผยว่าตนได้สั่งการให้หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาแล้ว

ส่วนกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ ก็เตือนว่าน้ำทะเลจะหนุนสูงไปจนถึงวันที่ 14 พ.ย. ในช่วง 05.00-23.00 น. ซึ่งเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย. แล้ว

ด้าน พลเรือโท จักรกฤช มะลิขาว เจ้ากรมอุทกศาสตร์ เผยว่า จะเกิดน้ำทะเลหนุนสูงสุดอีกครั้งระหว่างวันที่ 4-10 ธันวาคมนี้ โดยจะขึ้นสูงสุดประมาณ 1.38 เมตร โดยปกติ 1 ปี น้ำทะเลจะหนุนสูงสุด 2 ช่วย คือ เดือนพฤศจิกายนและธันวาคม

อนุทิน ต้องฉีดวัคซีนเข็ม 4 ก่อนบินประชุมสวิตเซอร์แลนด์ 

อีกหนึ่งประเด็นร้อนในสัปดาห์นี้ คงหนีไม่พ้นประเด็นของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่ออกมาเปิดเผยในวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ว่าในระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคมนี้ ตนจะเดินทางไปเข้าร่วมกับองค์การอนามัยโลก ที่ประเทศสวิตเซอร์เเลนด์ เพื่อหารือข้อตกลงในหลาย ๆ เรื่อง พร้อมกับแลกเปลี่ยนประสบการณ์โรคโควิด-19 ของแต่ละประเทศ 

พร้อมกันนี้ นายอนุทินก็ยังกล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่าตนไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้ เนื่องจากประเทศปลายทางไม่ยอมรับวัคซีนซิโนแวคและวัคซีนสูตรไขว้นั้น โดยระบุว่า ไม่คิดว่าจะเป็นดราม่า ขณะนี้มีการเปิดประเทศเดินทางไปมาแล้ว เพียงแต่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์หรือประเทศอื่น ๆ มีข้อกำหนดด้านการอนุญาตผู้เดินทางเข้าประเทศต่างกัน ก็ต้องทำตามข้อกำหนด 

นายอนุทินได้รับวัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม และแอสตร้าเซนเนก้าเพียง 1 เข็ม จึงต้องฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าอีก 1 เข็ม เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของประเทศปลายทาง 

"เหมือนที่ประเทศไทยมีข้อจำกำหนดว่าจะต้องฉีดวัคซีนที่เรายอมรับ เราไม่ได้รับทุกยี่ห้อ ยังมีหลายยี่ห้อที่เรายังไม่รับ ซึ่งคนที่จะเข้าประเทศ โดยมาตรการ Thailand Pass ก็ต้องฉีดวัคซีนที่เรากำหนด ไม่เช่นนั้นก็ต้องกักตัว 14 วันตามมาตรการ" นายอนุทินกล่าว 

นอกจากนี้ นายอนุทินยังระบุอีกว่า ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่เริ่มฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 สำหรับผู้ที่จำเป็น เพราะประเทศไทยเปิดประเทศเพื่อให้กิจกรรมที่เป็นปกติได้กลับมา ขณะเดียวกัน คนในประเทศก็มีความจำเป็นต้องออกไปค้าขาย ทั้งไปประชุม สัมมนา ท่องเที่ยวต่างประเทศ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เร็วที่สุด 

ครูยื่นใบลาออก สุดจะทนกับระบบประเมิน-สอนออนไลน์ไม่มีวันจบ 

เรียกว่าเป็นเรื่องราวสุดร้อนแรงของฝั่งการศึกษาไทย และถูกใจข้าราชการครูหลายต่อหลายคนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อเฟซบุ๊กแฟนเพจ Dynamic School Thailand ได้เปิดเผยเอกสารขอลาออกของครูท่านหนึ่ง ที่ระบุเหตุผลของการลาออกไว้อย่างตรงไปตรงมา ชัดเจน โดยชี้ให้เห็นถึงปัญหาของระบบการประเมินบุคลากรครู ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการสอน ทั้งยังเสียแรงกายแรงใจ เปลืองเวลา และงบประมาณโดยไม่มีเหตุจำเป็น ขณะที่การประเมินหลายครั้งก็กระทบกับเวลาที่ครูได้เตรียมการสอน เช่นเดียวกับเวลาส่วนตัวที่ควรมีให้ครอบครัว 

นอกจากนี้ ยังเป็นปัญหาเรื่องการเรียนออนไลน์ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ต้องอาศัยทั้งความพร้อมและความร่วมมือจากทั้งเด็กนักเรียนและผู้ปกครอง ซึ่งครูท่านนี้ระบุว่า ไม่สามารถปฏิการสอนให้ได้ผลสำเร็จ คุ้มค่ากับเงินภาษีที่จ่ายเป็นเงินเดือนได้ เช่นเดียวกับที่ไม่มีความหวังว่าจะได้เปิดเรียนได้ตามปกติเมื่อใด จึงขอลาออก เพื่อให้คนที่มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสมกว่า เข้ามาปฏิบัติหน้าที่แทน 

ต่อมาในวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังโรงเรียนบ้านดอนพลอง ต.วังเมือง อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์ เพื่อพูดคุยกับครูเก่ง เจ้าของเรื่องการลาออกที่สั่นสะเทือนวงการครู โดยครูเก่งได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นตัดสินใจเขียนใบลาออก ซึ่งเป็นเรื่องของระบบการศึกษาที่ประเมินด้วยเอกสารและระบบที่ไม่เป็นธรรม รวมไปถึงระบบเส้นสายที่ทำให้ครูเก่งทนไม่ไหว และเรื่องการสอนออนไลน์ ที่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่ค่อยพร้อม ทำให้ครูสอนและให้ความรู้กับเด็กได้ไม่เต็มที่ 

หลังจากที่เรื่องราวของครูเก่งถูกแชร์ออกไป ก็มีครูหลายคนที่เข้ามาแสดงความคิดว่าไม่ชอบระบบเส้นสาย ระบบอุปถัมภ์ ระบบการเขียนประเมินเช่นเดียวกัน ก่อนที่ครูเก่งจะลาออกจากราชการ ก็ได้วางแผนอาชีพของตัวเองเอาไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม ครูเก่งก็รู้สึกดีใจมากที่ได้พูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูดเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับครูรุ่นต่อไป 

ขณะเดียวกัน ครูเก่งก็ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัวที่ชื่อ "ยอดไผ่ ใต้ฟ้า" เพื่อชี้แจงประเด็นการล่าออกในครั้งนี้ พร้อมลงท้ายเอาไว้ว่า 

"แน่จริงก็วัดคุณภาพครูจากพัฒนาการเด็กจริงๆ สิคะ ทีนี้ก็จะเหลือแค่ครูที่สอนจริงเก่งจริง มีคุณภาพจริงๆ เป็นแม่พิมพ์จริงๆที่คู่ควรแก่ภาษีเท่านั้นแหละ จริงไหม ครูจริง สอนจริง เก่งจริง เค้าไม่กลัวหรอกค่ะเพราะการพัฒนาเด็กเค้าสามารถทำได้อยู่แล้วต่อให้เด็กอ่อนแค่ไหน แต่เค้าก็มีความพยายามทำให้เด็กได้เด็กดีขึ้นแม้ไม่เทียบเท่าเด็กปกติมันก็ไม่เกินความพยายามครูเหล่านี้แน่ 

มีแต่ครูที่เนียนกินเงินเดือนฟรีเท่านั้นแหละที่ชอบการประเมินแบบปั่นกระดาษ เพราะมันโกหกได้ไงคะ"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook