"ดา เอ็นโดรฟิน" ปล่อยของเปิดค่ายเพลงของตัวเอง รักที่ใช่ "เดนนิส" คนนี้แหละพ่อของลูก

"ดา เอ็นโดรฟิน" ปล่อยของเปิดค่ายเพลงของตัวเอง รักที่ใช่ "เดนนิส" คนนี้แหละพ่อของลูก

"ดา เอ็นโดรฟิน" ปล่อยของเปิดค่ายเพลงของตัวเอง รักที่ใช่ "เดนนิส" คนนี้แหละพ่อของลูก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หากพูดถึงศิลปินที่ครองใจแฟนๆ มาอย่างยาวนาน หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของสาวเสียงทรงเสน่ห์ ดา-ธนิดา ธรรมวิมล หรือ ดา เอ็นโดรฟิน ที่คร่ำหวอดในวงการเพลงมาถึง 18 ปี เรียกได้ว่าเพลงฮิตแบบรุ่นสู่รุ่น ไม่มีใครไม่รู้จักเพลงของเธอ และล่าสุด ดา ได้ปล่อยของครั้งใหม่ กับการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของภาพยนตร์ดราม่าคอมเมดี้ที่สร้างจากเรื่องจริง เรื่อง "ไสหัวไปนายส่วนเกิน" ที่กำลังจะเข้าฉายในวันที่ 18 พ.ย. นี้ บอกเลยว่าฟังแล้วอาจจะน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว 

และเช่นเคย sanook.com ต้องไม่พลาดขอคิวสาวเก่งคนนี้มานั่งพูดคุยกันถึงผลงานชิ้นนี้ และอีปเดตชีวิตเตรียมเป็นเจ๊ดันเปิดค่ายเพลงของตัวเองในชื่อ "BARS Entertainment" (บาร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์)  พร้อมกับเรื่องราวสุดพิเศษเพิ่งถูกหวานใจหนุ่ม เดนนิส ไทยคูน คุกเข่าขอแต่งงาน เซอร์ไพรส์จนน้ำตาอาบแก้ม ว่าโมเมนต์นั้นเป็นยังไง และวางแผนการใช้ชีวิตคู่กันไว้อย่างไรบ้าง 

การทำงานเพลง "เวลาสุดท้าย" เป็นยังไงบ้าง?

"การทำงานเพลงนี้เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างทีมโปรดักชั่นไทยกับทีมทำทำนองของจีน เป็นการทำงานแบบไทยจีนครั้งแรกของดาเป็นช่วงเวลาแบบปล่อยเพลงสองใจประกอบละครต้นปี และได้ปล่อยเพลงนี้ "เวลาสุดท้าย" ช่วงปลายปี ก็เรียกว่าเป็นไทม์มิ่งสวยๆ ที่ได้ทำงานนี้ค่ะ"

"เนื้อหาเพลงนี้ถ่ายทอดความรู้สึกของนางเอกที่เมื่อเรารู้ว่าเราจะไม่ได้อยู่แล้วเราจะใช้ชีวิตยังไงให้คุ้ม เราจะมีความสุขกับมัน จะยิ้มแบบมีน้ำตาไปกับมันให้ได้ จะใช้ชีวิตให้มีความสุขไปจนถึงเวลาสุดท้าย ดาอินกับเพลงนี้มากนะ เพราะดาเคยช่วยน้องๆ ในเคสมะเร็งด้วย ดาเคยไปช่วยโรงพยาบาลบ้านแพ้ว ในเคสที่แฟนเพลงดาเป็นมะเร็งสมอง ดารู้สึกได้ว่าคนที่เขารู้ตัวเองว่าเขามีเวลาเหลืออยู่แค่นี้มันรู้สึกยังไง แล้วมาเจอภาพยนตร์เรื่องนี้ที่นางเอกเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้วเขาจะใช้ชีวิตที่เหลือให้มีความสุขยังไง มันก็สะอึกแหละ รวมทั้งเพลงนี้ประกอบเข้ากับดนตรีวงออร์เคสตรา การทำดนตรีแบบนี้มันค่อนข้างผลักดันอารมณ์ของเพลง เหมือนโดนต่อยหน้า โดนข่วนแล้วโดนตบซ้ำอะไรแบบนั้น (หัวเราะ)

ตอนเพลงเสร็จได้ฟังเองครั้งแรกความรู้สึกที่ได้คือมันอึดอัดค่ะ จริงๆ ฟังแล้วรู้สึกแบบนั้นมันเป็นเรื่องที่ดีนะคะ ความอึดอัดที่เรารู้สึกแสดงว่าเราฟังแล้วมันทัช เพราะเราอยากให้แฟนภาพยนตร์หรือแฟนเพลงได้อินเรื่องของนางเอกว่าเขารู้สึกแบบนี้ ถึงเป็นความสุขธรรมดา แต่ก็เป็นความสุขที่สุดของฉัน เขารู้วันที่เขาจะไปแต่เขาก็ต้องทำให้มันดี ให้ความรู้สึกอึดอัดดีค่ะ"

ทำเพลงมาเยอะมาก เพลงนี้ยังมีความยากอะไรอยู่ไหม?

"ยากที่เพลงนี้ใช้สมาธิสูงมาก เป็นการเรียบเรียงการร้องไม่ให้กวนกับออร์เคสตรา การร้องเพลงก็คือเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นเพลงที่เป็นออร์เคสตรา ในชีวิตนี้ดาไม่ค่อยได้เจอ เลยต้องทำการบ้านเยอะ ในเรื่องของการร้องที่จะไม่ให้ไปกวนกับดนตรีส่วนต่างๆ เพราะเพลงนี้ซูเปอร์ฟูลแบนด์มากๆ เลย"

ดา เอ็นโดรฟิน

คาดหวังกับผลงานชิ้นนี้ไว้ยังไงบ้าง?

"ทำงานมาตั้งแต่เด็กจนโต การที่เราได้อันดับต้นๆ ในชาร์จดาว่ามันคือโบนัส แต่สิ่งสำคัญคือเรามีความสุขที่ได้ทำ มีความสุขที่ได้ร้องหรือเปล่าแค่นั้นเอง นี่คือโจทย์ของเราเลย ดาก็เลยไม่ได้เครียดหรือคาดหวังอะไรมากไปกว่าการได้นำเสนอเพลงของเราออกไป ก็ฝากไว้ด้วยค่ะ เพลงเวลาสุดท้าย ประกอบภาพยนตร์ ไสหัวไปนายส่วนเกิน จะเข้าฉาย 18 พ.ย. นี้เชื่อว่าฟังเพลงแล้วได้ดูหนังจะทำให้ยิ่งเข้าใจและอินมากขึ้นด้วย"

นอกจากเพลงนี้แล้วมีงานใหม่ๆ เตรียมปล่อยอีกไหม?

"เดี๋ยวจะมีงานออกกับ JOOX 1 ชิ้น ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดปีหน้าน่าจะได้ชมคอนเสิร์ตใหญ่กันละ ตอนนี้อยากมีคอนเสิร์ตใหญ่เพราะเลื่อนมา 2 รอบแล้ว จริงๆ ต้องมีเมื่อปีที่แล้ว เราก็วางไว้เดือนพฤศจิกายน แต่โควิดมันก็ไม่จบมา 2 รอบก็ต้องเลื่อนไปอีก แต่ก็ดีเพราะเลื่อนออกมาดาก็ได้เพลงใหม่อีก 2 เพลงเอาไว้เล่นคอนเสิร์ตใหญ่ (หัวเราะ)"

"แล้วก็มีอีกเรื่องที่เป็นเรื่องใหม่ คือ ดาเป็นอิสระมา 3 ปีกว่า ก็จะทำค่ายเพลง มีน้องๆ ที่คุยอยู่ประมาณ 3-4 คน พอถึงจุดที่เรารับมาเยอะมากในชีวิตเราที่เป็นนักร้อง คราวนี้เราก็อยากสอนเด็กต่อละ ค่ายของดาจะมีชื่อว่า "BARS Entertainment" (บาร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์) ไอเดียมาจากความที่ดากับเดนนิส เราเป็นนักดนตรี เป็นมิวสิคเลิฟเวอร์ทั้งคู่ เราเลยคิดว่าจะทำยังไงให้มาตรฐานดนตรีไทยมันได้ไปต่อในคุณภาพที่เราอยากให้มันเป็น เลยตั้งขึ้นมาว่าถ้าฉันจะเป็นศิลปินฉันต้องมีอะไรบ้าง ก็จะมีทั้งทักษะการเขียน เหมือนบาร์สเกลโน้ตดนตรีที่เป็นเส้นๆ อ่ะค่ะ

แล้วบาร์ต่อมา คือ บาร์ที่เป็นการแต่งประโยคของพวกฮิปฮอป แล้วก็ raise the bar หมายถึงเอามาตรฐานขึ้นมา ก็คือ ถ้าเราได้ทำศิลปิน เราก็อยากได้ศักยภาพแบบนี้จากน้องๆ ที่เราอยากดูแล ตอนนี้ก็มีคุยกับน้องๆ ไว้บ้าง เพราะดาทำเดอะวอยซ์ ทำประกวดร้องเพลงเยอะแล้วมีหลายๆ คนที่ไม่ได้ไปต่อ แต่เขามีของ ก็เลยคิดว่า ตอนเด็กๆ เราไม่ได้อะไร ตอนนี้เราจะให้น้องๆ เขา และค่ายเพลงเกิดขึ้นเยอะ แต่จะอยู่ยาวได้ยังไงอันนั้นสำคัญที่สุด"

"ตอนนี้ค่ายเพลงก็อยู่ในขั้นตอนดำเนินการเซ็นเป็นพาร์ทเนอร์กับเดนนิสแค่สองคน น่าจะได้เห็นเป็นผลงาน หรือเป็นศิลปินเบอร์แรกออกมาช่วงก่อนสงกรานต์ปีหน้าค่ะ"

ดา เอ็นโดรฟิน

ถ้าเปิดค่ายเพลงแล้วแพลนงานส่วนตัวไว้ยังไง?

"พออายุ 35 แล้ว การบาลานซ์ชีวิตเราเปลี่ยนไป ตอนเราอายุ 30 เรายังมีทัวร์คอนเสิร์ต 70 เปอร์เซ็นต์ ทำเพลง 30 เปอร์เซ็นต์ พออายุ 35 กลับมองว่าให้ทัวร์เป็น 30 เปอร์เซ็นต์ ใช้ชีวิตอีก 40 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือก็ทำเพลง เราต้องมาบาลานซ์ชีวิตเปลี่ยนไปละ เมื่อก่อนช่วงอายุ 20 เราจะบ้าพลัง ทัวร์คอนเสิร์ต 95 เปอร์เซ็นต์เลย (หัวเราะ) ดากับเดนนิสคุยกันไว้แล้วว่าจะอยู่เมืองไทยช่วงไฮซีซั่น ปีใหม่ สงกรานต์ อะไรแบบนี้ แล้วก็ไปแอลเอ เริ่มมองชีวิตคู่แบบนี้"

มาพูดถึงชีวิตคู่ โมเมนต์ถูกขอแต่งงานเป็นยังไงบ้าง?

"คืนนั้นมันเป็นคืนวันเกิดธรรมดาๆ ที่เราออกไปกินข้าวนอกบ้านไม่ได้ เขาก็สั่งมิชลินเชฟมาให้เป็นโอมากาเซะ เราก็ไม่ได้รู้เรื่องว่าเขาไปจ้างมาอะไรยังไง ฟีลตอนนั้นก็จิบๆ กินซูชิอยู่บ้าน เราเพิ่งรู้ว่าเขาแอบไปทำแหวนมา 2 เดือนแล้วแต่เขาเก็บความลับเอาไว้คนเดียว เป็นคืนที่เราก็กินข้าวกันไปดูงานกันไปว่าตอนนี้เพลงเป็นยังไง โน่นนี่นั่น เสร็จปั๊บประมาณ 5 ทุ่มครึ่ง ช่วงนั้นเราเริ่มกรึ่มๆ อยากร้องเพลงก็เลยหันไปเซ็ทคาราโอเกะ ปรากฎว่าเขาก็ไปเลือกเพลง Wake Up เป็นเพลงที่เขาเขียนให้ดา ซิงเกิ้ลของเดนนิสแล้วดาไปฟีเจอริ่ง แล้วบอกให้หันหลังไป เราก็แบบอะไรอ่ะ ก็จะร้องเพลง (หัวเราะ) พอหันไปปุ๊บเห็นเขาน้ำตาอาบหน้า แบบคอเสื้อเปียกเลย เขาบอกว่า เข้าใจแล้วว่าผู้ชายที่ร้องไห้ในงานแต่งงานความรู้สึกเป็นยังไง รู้สึกแบบนี้นี่เอง เขาร้องไห้ก่อนดาอีก แล้วเราร้องไห้ตามเพราะเห็นเขาร้องไห้โฮเลย 

ตอนนั้นตื่นเต้น ช็อกด้วย กอดกันร้องไห้ เหมือนด้วยความที่เราก็เป็นเพื่อนกันมานานแล้วมาลงเอยกันแบบนี้ ถ้านับปีเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ปี 2012 นานมาก วันที่งงยิ่งกว่าถูกขอแต่งงาน คือ เมื่อเราตื่นขึ้นมาอีกวัน มีแหวนอยู่ที่นิ้วแล้ว มีคำพูดของผู้ชายออกมาว่า "ตอนนี้เรียกแฟนไม่ได้แล้วนะ ต้องเรียกว่าคู่หมั้น"  ความรู้สึกเหมือนเราโตขึ้นมาเลย คิดว่าเราจะต้องเดินไปด้วยกันยังไง ถามว่าคิดไหมว่าจะมาถึงจุดนี้ คือ เราสองคนคิดไว้อยู่แล้วว่าเราเริ่มอยากมีครอบครัว ความโชคดีในโชคร้าย คือ ช่วงโควิดมันทำให้เราโฟกัสตัวเองมากขึ้น ถ้าดายังบ้าทัวร์อยู่อีกดาตื่นขึ้นมาอีกทีอายุ 38 แล้วจะไปมีลูกตอนไหนล่ะเนี้ย (หัวเราะ) 

ปรากฏว่าช่วงโควิดดาได้อยู่กับเดนนิส 24 ชม.  1 ปี เต็มๆ มันไม่ใช่ว่าเราแค่เดทแล้วกลับไปทำงานข้างนอกแล้วมาเจอกันแค่บางเวลา มันกลายเป็นว่าเราได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน ทำให้เรารู้สึกแน่ชัดว่าคนนี้แหละเป็นพ่อของลูกได้ เขาเป็นคนรักครอบครัว เขารักยายดา รักครอบครัวดา และเขารักแม่เขามาก ช่วยงานคุณแม่เขา พอคุณแม่มีโรคหัวใจเดนนิสเขาก็ต้องยอมแพ้เรื่องงานเพลงเพื่อที่จะไปดูแลครอบครัว ตรงนี้ก็เป็นจุดที่ได้ใจเราไป เขารักที่บ้านเพราะฉะนั้นเขาต้องดูแลเราได้"

ดา-เดนนิส

ตอนเขาขอแต่งงานมีจุดลังเลไหม?

"ไม่มีเลย เพราะเราคุยเรื่องลูกกันแล้ว เหมือนความชอบของเรามันเปลี่ยนไป คู่ไหนก็แล้วแต่นะคะถ้าคบกันมาสักระยะนึงแล้ว ถ้าเริ่มคุยเรื่องเด็กแสดงว่าเรามีจุดหมายเดียวกันละ เดนนิสเขาบอกว่าเขาเริ่มมองเด็กๆ เวลาไปที่ต่างๆ เห็นเด็กแล้วอยากมี ซึ่งเขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ตอนนี้ก็อยากมีแล้วค่ะ สัก 3-5 คน"

วางแผนเกี่ยวกับชีวิตคู่ไว้ยังไงบ้าง?

"เดือนธันวาคมนี้ ก็จะมีพิธียกน้ำชา หมั้นแบบจีน เพราะครอบครัวเดนนิสเป็นคนจีน แต่ครอบครัวดากับเดนนิสยังไม่เคยเจอกันเราเลยจะจัดทานข้าวให้ผู้ใหญ่ก่อน ปาร์ตี้เวดดิ้งจริงๆ วางไว้ก่อนเมษายน ปีหน้าที่จะได้มาเจอกันเต็มๆ ทั้งเพื่อนๆ ศิลปิน นักดนตรี พี่น้องสื่อ จัดเป็นมิวสิคเฟสติวัลจ้า เป็นความสนุกของเราสองคนค่ะ" 

รักครั้งนี้ต่างจากครั้งอื่นๆ ยังไง อะไรที่เขาทำให้มั่นใจว่าคนนี้แหละใช่?

"เวลาดาคบเป็นแฟน ความสัมพันธ์กว่าจะรู้ กว่าจะชอบกัน เบื่อกัน เห็นข้อดี ข้อเสียของกันและกัน มันใช้เวลามากกว่า 3 ปี ซึ่งดาก็ผ่านมาแล้วหลายรูปแบบ ปรากฏว่าของเดนนิสเนี้ยดาคิดไว้ก่อนเลยว่า ผู้ชายคนต่อไปที่เราจะคุยด้วย ถ้าเขาเกิดมาแบบเป็นโซโล่แมน ใช้ชีวิตเซลฟ์ๆ ของเขาคนเดียวก็คงไม่ใช่สำหรับเราละ เพราะเราเป็นคนดูแลครอบครัว แต่สิ่งแรกที่ตัดสินใจคุยกับเดนนิสแบบแฟนเลย เขาบอกว่าเขากลับแอลเอไปเพราะอยากดูแลแม่ เขาบอกไม่อยากให้แม่ทำงานเยอะแบบนี้แล้ว แม่ทำงานมา 30 กว่าปี เขาอยากคอยขับรถให้แม่ ซึ่งเราเห็นชัดเลยว่าเขารักแม่เขามาก เขารักแม่ขนาดนี้ถ้าเป็นแฟนเขาก็คงรักมากอะไรแบบนี้ก็เลยได้ใจไป"

มองภาพครอบครัวตัวเองออกมาเป็นยังไง?

"เขาคงเป็นพ่อที่สักเยอะๆ หอบลูกพะรุงพะรัง แล้วก็อุ้มลูกไปดูคอนเสิร์ตแม่ได้ (หัวเราะ)"

ถึงจะมีค่ายเพลงเอง หรือ มีครอบครัว งานเบื้องหน้าเราก็จะไม่หายใช่ไหม?

ดา เอ็นโดรฟิน

"ไม่หายๆ จะทำไปเรื่อยๆ ค่ะ"

อยากบอกอะไรถึงแฟนๆ ของเราบ้าง กับการเดินทาง 18 ปี ที่ผ่านมา?

"คือการเดินทางของดากับแฟนเพลงเหมือนเราผูกพันกันมา เป็นเพลงที่อยู่ในช่วงชีวิตของหลายๆ คน ทั้งจบเรียน ทั้งอกหัก ถึงแฟนๆ ของดา นะคะ ขอบคุณมากสำหรับความสัมพันธ์ของเราตลอด 18 ปี ตั้งแต่ตัดผมรากไทร (หัวเราะ) เพลงเป็นเหมือนความทรงจำ เวลาเราได้ยินเพลงบางเพลงเหมือนเราเปิดวาร์ปไปช่วงเวลานั้นๆ ระยะเวลา 18 ปี แฟนๆ ก็จะเห็นดาเติบโตด้วย เหมือนเราเจอและรู้จักกันมานาน เราอยากเห็นการเติบโตของกันและกัน

แฟนเพลงหลายคนมากที่บอกดาว่า หนูฟังเพลงพี่ตั้งแต่เรียนจนตอนนี้หนูให้ลูกฟังแล้วค่ะ (หัวเราะ) ผมใช้เพลงสิ่งสำคัญขอแฟนแต่งงานครับพี่ อะไรแบบเนี้ย มันจะมีเหตุการณ์มากมายระหว่างเรา จนตอนนี้ดาโตและสามารถจะให้อะไรกลับได้ ถามว่าแพสชั่นในเพลงมันหายไปไหมมันไม่หายไปหรอกเพียงแต่ว่าจะปรับเปลี่ยนไปอยู่สถานะไหนเท่านั้นเองค่ะ ต้นปีที่ผ่านมาดามีสองใจ ตอนนี้ก็มีเวลาสุดท้าย และต้นปีหน้าก็จะมีโปรเจ็กต์กับ JOOX เพราะฉะนั้นในคอนเสิร์ตใหญ่ก็จะมีเพลงร้องเยอะมาก ก็จะพยายามีคอนเสิร์ตใหญ่ให้ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องอุ้มท้องไปร้องเพลงหรือเปล่า (หัวเราะ) ก็ต้องรอติดตามกัน ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ" 

อัลบั้มภาพ 20 ภาพ

อัลบั้มภาพ 20 ภาพ ของ "ดา เอ็นโดรฟิน" ปล่อยของเปิดค่ายเพลงของตัวเอง รักที่ใช่ "เดนนิส" คนนี้แหละพ่อของลูก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook