“มีเกิดก็ต้องมีดับ มีขึ้นก็ต้องมีลง” รวมดาวหรี่แสงแห่งปี 2021
“มีเกิดก็ต้องมีดับ มีขึ้นก็ต้องมีลง” ไม่ว่าจะยุคไหน พ.ศ.ไหน ก็ต้องการันตีเลยว่าประโยคนี้ยังคง “คลาสสิค” และใช้ได้ดีอยู่เสมอ เพราะถึงแม้จะเคยมีช่วง “ยุคทอง” ให้ได้เจิดจรัส ฉายแสงสว่างจ้ากันแค่ไหน สุดท้ายกาลเวลาก็นำพาไปสู่ช่วง “ขาลง” ได้เสมอทุกรายไป
วันนี้ Sanook News จะพาทุกคนไปสำรวจกันหน่อยว่า ในปี 2564 ที่ผ่านมา มีดาวดวงไหนบ้าง ที่กลายเป็น “ดาวหรี่แสง” ไม่เจิดจ้าเท่าปีกลาย ขอสปอยล์ก่อนเลยว่าแต่ละรายชื่อที่คัดมาให้นี้ ล้วนเคยเป็น “ดาวเด่น” พุ่งแรงกันมาก่อนทั้งนั้น อย่ามัวเสียเวลา ไปที่ชื่อแรกกันเลยครับ
-
"เอ๋" ปารีณา ไกรคุปต์ จากดาวสภา สู่ ดาวหรี่แสง
ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่า นับตั้งแต่อดีต ส.ส.หญิง ราชบุรี แห่งพรรคพลังประชารัฐคนนี้ ตบเท้าเข้าสู่สภา ก็สร้างสีสันให้วงการการเมืองไทยแทบไม่เว้นวัน จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็น ส.ส. ที่ครองพื้นที่หน้าสื่อไว้อย่างเหนียวแน่นเป็นอันดับต้นๆ ไม่ว่าจะเป็นลีลาการยกมือประท้วงในสภา การขยับตัวให้สัมภาษณ์แต่ละครั้ง หรือแม้กระทั่งการใช้พื้นที่โซเชียลมีเดียส่วนตัวแต่ละที การันตีความฮือฮา กลายเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” ทุกครั้งไป
แต่ดูเหมือนว่าปี 2564 นี้จะไม่ใช่ปีของผู้หญิงที่ชื่อ “เอ๋ ปารีณา” เอาเสียเลย เพราะนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา เจ้าตัวก็ถูก ป.ป.ช. ลงดาบความผิดจริยธรรม ส.ส. ร้ายแรง จากกรณีบุกรุกที่ดินของรัฐกว่า 711 ไร่ ก่อนที่เพียง 1 เดือนต่อมา ศาลฎีกาก็วินิจฉัยให้ ถอดถอนเธอออกจากตำแหน่ง ส.ส. จนดาวเด่นประจำสภา มีอันต้องกระเด็นจากเก้าอี้ในทันที
ซ้ำร้ายเมื่อพระศุกร์เข้า พระเสาร์ก็ยิ่งแทรก เพราะ “เอ๋ ปารีณา” ยังมีคดีต่อคิวรออยู่นอกสภาอีกเพียบ อย่างในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ศาลอาญาก็เพิ่งจะพิพากษาจำคุกปารีณา 1 ปี ปรับ 1 แสนบาท ในคดีโพสต์หมิ่น “ช่อ พรรณิการ์” และ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ว่ามีเอี่ยวกับเหตุระเบิดกรุงเทพ และเหตุไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ครั้งนี้โชคยังดีที่ศาลปราณี ลดโทษเหลือ จำคุก 8 เดือน ปรับ 6 หมื่น ส่วนโทษจำคุกก็เหลือแค่ให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี
จากมรสุมที่ถาโถมตั้งแต่ต้นปี ทำให้เราได้เห็นหน้าค่าตา อดีต ส.ส.หญิงคนนี้ เฉพาะเวลาติดสอยห้อยตาม “พล.อ.ประวิตร” ยามลงพื้นที่ และได้เห็นวาทะเด็ดตามหน้าเฟซบุ๊กของเจ้าตัวเท่านั้น ซึ่งก็ต้องยอมรับกันตามตรงว่า จาก “ดาวสภา” ในวันนั้น กลายมาเป็น “ดาวหรี่แสง” อย่างเต็มตัวในวันนี้จริงๆ
-
"ลุงพล" ไชย์พล วิภา จากซุปฯ ตาร์แห่งบ้านกกกอก สู่ ผู้ต้องหาคดีฆาตกรรม
ย้อนไปในปี 2563 คงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของ “ลุงพล” หนุ่มใหญ่แห่งบ้านกกกอก จ.มุกดาหาร ผู้ที่ชีวิตพลิกผันกลายเป็น “ซุปฯ ตาร์” หลังเข้าไปมีส่วนพัวพันในคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ หนึ่งในคดีอภิมหากาพย์ ที่จนถึงวันนี้ยังหาคำตอบให้กับสังคมไม่ได้ แต่ระหว่างที่การสืบสวนยังควานหาความจริงท่ามกลางความมืด ชื่อเสียงของลุงพลกลับสว่างไสวขึ้นมาแบบช่วยไม่ได้ สื่อมวลชนโดยเฉพาะรายการทีวี ไปจนถึงยูทูบเบอร์ แห่มาตามติดชีวิตของ ลุงพลและป้าแต๋น กันถึงบ้านกกกอกแทบจะ 7 วัน 24 ชั่วโมง จนมีแฟนคลับ มีงานอีเวนต์ รับงานพรีเซนเตอร์ ไปจนถึง Featuring กับนักร้องดังอย่าง จินตหรา พูนลาภ จนแทบจะลืมไปเลยว่าจุดเริ่มต้นของชายผู้นี้ คือการตกเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม
แต่มีขึ้นก็ต้องมีลงตามคำโบราณว่าไว้ เพราะหลังจากโด่งดังเป็นพลุแตก กระแสสังคมเริ่มตั้งคำถามดังขึ้นเรื่อยๆ ว่าทำไมสังคมจึงให้ความสำคัญกับชายผู้นี้มากขนาดนี้ ทั้งที่เจ้าตัวยังไม่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้ด้วยซ้ำ
ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องราวยังยุ่งเหยิง อิรุงตุงนัง เมื่อลุงพลเกิดนึกครึ้มอยากสร้าง “วังพญานาค” ไว้กราบไหว้สักการะในพื้นที่บ้านกกกอก แต่ดันถูกจับโป๊ะว่าจุดที่สร้างเป็นการรุกที่ของกรมอุทยานฯ แถมยังตัดไม้หวงห้าม ซึ่งมีภาพหลักฐานจากยูทูบเบอร์ที่ไลฟ์นาทีช่วยกันตัดต้นไม้ เตรียมทำลานก่อสร้างวังพญานาคมัดตัวอีก
มรสุมรุมเร้าไม่หยุด เมื่อเผชิญแรงกดดันจากสังคมมากๆ ลุงพลเลยออกอาการ “น็อตหลุด” กระชากไมค์นักข่าวทีวีช่องดัง แถมทุบหลังให้อีกหลายตุ้บกลางวงสัมภาษณ์ คาดว่าเป็นความไม่พอใจทีวีช่องดังเป็นการส่วนตัว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ยังรักใคร่กันดี
หลังจากนั้นกราฟความดังของลุงพลก็ดำดิ่งไม่หยุด เมื่อตำรวจแถลงออกหมายจับอดีตซุปฯ ตาร์ บ้านกกกอก ในคดีฆาตกรรมน้องชมพู่ ทำให้สถานะของลุงพล ตกเป็น “ผู้ต้องหา” อย่างเป็นทางการ ขณะที่คนใกล้ชิดที่เคยเคียงข้างกันมาในวันที่โด่งดังสุดๆ ก็ทยอยหายหน้าหายตาไปทีละคน สองคน ไล่ตั้งแต่ “อุ๊บ วิริยะ” นักปั้นมือทอง “หมอปลา” มือปราบสัมภเวสี ล่าสุดสดๆ ร้อนๆ “ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายคู่ใจที่เคียงข้างกันมาตลอดการสู้คดี ก็มาประกาศถอนตัวด้วยเหตุผล “ความคิดเห็นไม่ตรงกัน” แม้จะยืนยันว่าไม่ได้มีปัญหาส่วนตัวอะไรกัน แต่ไปอ่านโพสต์ของภรรยาทนายตั้ม ที่ร่ายยาว ระบายความอัดอั้นตันใจที่มีต่อลุงพลกับป้าแต๋นแล้ว บอกได้คำเดียวว่า “แซ่บพริก 50 เม็ด”
-
“ไอ้ไข่ วัดเจดีย์” ปีนี้ไม่ปังเพราะ “เจ้าแม่เลขเด็ด” จุดธูปแย่งซีนไปเต็มๆ
เชื่อได้เลยว่าถ้าคุณเป็นคอหวย หรือติดตามวงการเลขเด็ด เลขดังมาบ้าง จะต้องได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างของ “ไอ้ไข่” แห่ง วัดเจดีย์ อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช กันอย่างแน่นอน เพราะปีที่แล้วเรียกได้ว่าเป็นปีทองของไอ้ไข่จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านผู้รักการเสี่ยงโชค ดาราดัง ไปจนถึงนักการเมือง ข้าราชการระดับบิ๊กๆ ต่างก็ต้องตีตั๋วมุ่งตรงสู่เมืองคอน เพื่อสักการะ ขอพร ขอโชคลาภ จากรูปสักการะเด็กวัดผู้โด่งดังกันมาแล้วทั้งสิ้น หลายเสียงการันตีว่า ขอเลขได้เลข ขอโชคได้โชค เงินก็ปัง งานก็เปรี้ยง
แต่พอพ้นศักราชมาปี 64 กลับกลายเป็นว่าสถานการณ์การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ที่ทำเอาการเดินทางภายในประเทศถึงกับอัมพาตเพราะ “ล็อกดาวน์” กันไปหลายเดือน ทำให้เกิดดาวจรัสแสงดวงใหม่ที่กลายมาเป็นความหวังของคอหวย นั่นก็คือ “แม่น้ำหนึ่ง” เจ้าแม่เลขเด็ดคนดัง ที่ใบ้เลขเด็ดด้วยการจุดธูป แล้วถ่ายทอดผ่านไลฟ์ทางเฟซบุ๊กให้แฟนคลับได้ติดตามกันแบบ New Normal ซึ่งก็ปังติดต่อกันหลายงวดจนแม่น้ำหนึ่งโด่งดังเป็นพลุแตก งานนี้ทำให้ “ไอ้ไข่” พลัดตกจากบัลลังก์ ที่หนึ่งในใจคนรักหวย ไปโดยปริยาย
-
พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข เบอร์หนึ่งวงการสีกากี ที่โฟกัสไม่ค่อยจับเอาเสียเลย
หลังรับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพทำคดีดังอย่างคดีฆาตกรรมน้องชมพู่ รวมไปถึงการติดสอยห้อยตาม “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ในขณะนั้น ไปลงพื้นที่คลี่คลายคดีสำคัญมากมาย สุดท้ายเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็ถูกส่งต่อให้ “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข สืบทอดต่อ ถึงขนาดเรียกเสียงฮือฮาสุดๆ เมื่อเจ้าตัวถึงกับก้มกราบตัก “บิ๊กแป๊ะ” ในวันที่ส่งมอบตำแหน่ง แสดงถึงความรักและความไว้เนื่อเชื่อใจ ที่อดีต ผบ.ตร. ส่งมอบไม้ต่อให้แบบสุดๆ
แต่หลังรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการมาจนถึงนาทีนี้ ครบ 1 ปีเศษแล้วที่ “บิ๊กปั๊ด” นั่งเก้าอี้ตำแหน่งสูงสุดในวงการสีกากี แต่เหตุไฉนประชาชนถึงได้เห็นหน้าค่าตา ผบ.ตร. น้อยเสียเหลือเกิน แถมการปรากฎตัวแต่ละครั้ง ก็ไม่ค่อยน่าจดจำเสียเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นวาทะเด็ดเมื่อเจ้าตัวลงพื้นที่ให้กำลังใจตำรวจจากต่างจังหวัดที่ถูกระดมเข้ามารับมือม็อบเยาวชน ด้วยประโยคที่ว่า “ที่บ้านไม่มีรถไฟฟ้าใช่ไหม...พาลูกน้องมาดูรถไฟฟ้าชอบไหม”
ต้องยอมรับกันตรงๆว่า ตลอดปี 64 แทบจะเรียกได้ว่า ข่าวคราววงการตำรวจ ค่อนไปในทางลบเสียมากกว่า และน้อยครั้งที่จะได้เห็น ผบ.ตร. ออกมายืนกลางสปอตไลต์ ให้ประชาชนได้เห็นในคดีสำคัญ
แต่พอถึงคดีสนั่นวงการตำรวจอย่าง “อดีต ผกก.โจ้ คลุมถุงดำ” ที่ ผบ.ตร.มานั่งโต๊ะแถลงด้วยตัวเอง โฟกัสของผู้ชมก็ดั๊น..ไปจับจ้องที่ “หมวดไวกิ้ง” ร.ต.ท.หญิง ภัทรศยา ตำรวจหญิงที่ถือโทรศัพท์ให้บิ๊กปั๊ดโฟนอินสัมภาษณ์ อดีต ผกก.โจ้ เสียอย่างนั้น แบบนี้ก็คงพูดได้เต็มปากว่า ปี 2564 ไม่ใช่ปีที่ ผบ.ตร. ที่ชื่อ สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข จะได้เฉิดฉายเอาเสียเลย
แล้วสำหรับแฟนข่าว Sanook News ที่อ่านมาถึงตรงนี้ คิดเห็นกันอย่างไรบ้างครับ อ่านจบแล้วอย่าลืมไปโหวต “ดาวหรี่แสงแห่งปี” ในใจของเพื่อนๆ กันได้กับแคมเปญ “สนุกสุดจัดแห่งปี 2021”