ไฟเซอร์ ยินยอมมอบสูตรให้ 95 ประเทศทั่วโลก ผลิตยา "แพ็กซ์โลวิด" แต่ไม่มีไทย

ไฟเซอร์ ยินยอมมอบสูตรให้ 95 ประเทศทั่วโลก ผลิตยา "แพ็กซ์โลวิด" แต่ไม่มีไทย

ไฟเซอร์ ยินยอมมอบสูตรให้ 95 ประเทศทั่วโลก ผลิตยา "แพ็กซ์โลวิด" แต่ไม่มีไทย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"ไฟเซอร์" ไฟเขียวให้ 95 ประเทศทั่วโลกสามารถนำสูตรการผลิต "ยาแพกซ์โลวิด" ยารักษาโควิด ไปผลิตได้ แต่ไร้ชื่อประเทศไทย

องค์กรสิทธิบัตรยาร่วม (Medicines Patent Pool: MPP) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากองค์การสหประชาชาติ (UN) เปิดเผยวานนี้ (16 พ.ย.) ว่า MPP บรรลุข้อตกลงด้านสิทธิบัตรยากับไฟเซอร์ อิงค์ โดยบริษัทจะอนุญาตให้ผู้ผลิตยาสามัญสามารถจำหน่ายยาแพ็กซ์โลวิด (Paxlovid) ซึ่งเป็นยารักษาโรคโควิด-19 ในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำและรายได้ปานกลางจำนวน 95 ประเทศทั่วโลก

ทั้งนี้ บริษัทที่ต้องการผลิตยาแพกซ์โลวิดสามารถยื่นเรื่องต่อ MPP เพื่อขอรับการอนุมัติ โดย MPP จะมอบช่วงสิทธิบัตรให้แก่บริษัทที่มีคุณสมบัติเหมาะสม และได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานสาธารณสุขภายในประเทศในการผลิตยาดังกล่าว โดย MPP คาดการณ์ว่ายาแพกซ์โลวิดจะเข้าถึง 95 ประเทศดังกล่าวภายในเวลาอีกไม่กี่เดือน

ประเทศที่เข้าเกณฑ์ได้รับช่วงสิทธิบัตรการผลิตยาแพ็กซ์โลวิดทั้ง 95 ประเทศ ส่วนใหญ่เป็นประเทศในเอเชียและแอฟริกา โดยอยู่ในกลุ่มประเทศในทวีปแอฟริกาตอนใต้ทะเลทรายซาฮารา (SSA), กลุ่มประเทศรายได้ต่ำ (LIC), กลุ่มประเทศรายได้ต่ำถึงปานกลาง (LMIC) และกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง (UMIC)

สำหรับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) มีอยู่ 6 ประเทศที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว ได้แก่ ลาว เมียนมา กัมพูชา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ส่วนประเทศที่ไม่อยู่ในรายชื่อ ได้แก่ บรูไน มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย

การบรรลุข้อตกลงระหว่าง MPP และไฟเซอร์ มีขึ้นหลังจากที่ MPP ได้บรรลุข้อตกลงกับเมอร์ค แอนด์ โค ก่อนหน้านี้เช่นกันในการมอบสูตรการผลิตยาโมลนูพิราเวียร์ ซึ่งเป็นยารักษาโรคโควิด-19 ให้แก่ 105 ประเทศทั่วโลก

ทั้งนี้ เมอร์คและไฟเซอร์ จะไม่เรียกเก็บค่าตอบแทนจากบริษัทที่ผลิตยาโมลนูพิราเวียร์และยาแพ็กซ์โลวิด ตราบใดที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังคงระบุว่าโรคโควิด-19 ถือเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ

ในขณะที่ ไฟเซอร์ เปิดเผยว่า ผลการทดลองพบว่า ยาแพ็กซ์โลวิดสามารถลดความเสี่ยงของผู้ป่วยโควิด-19 ในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้ถึง 89% โดยสูงกว่ายาโมลนูพิราเวียร์ของเมอร์ค ซึ่งมีประสิทธิภาพอยู่ที่ 50%

ทั้งนี้ ยา 1 คอร์สของเมอร์คประกอบด้วยยาโมลนูพิราเวียร์ขนาด 200 มิลลิกรัม จำนวน 40 เม็ดสำหรับผู้ป่วย 1 คน โดยผู้ป่วยจะรับประทานยาวันละ 2 ครั้งๆ ละ 4 เม็ด เป็นเวลา 5 วัน ส่วนผู้ที่จะรับประทานยาของไฟเซอร์จะต้องรับทั้งยาแพ็กซ์โลวิด พร้อมกับยาริโทนาเวียร์ ซึ่งเป็นยารักษาผู้ติดเชื้อ HIV โดยยา 1 คอร์สของไฟเซอร์ประกอบด้วยยาแพ็กซ์โลวิด 20 เม็ดและยาริโทนาเวียร์ 10 เม็ดสำหรับผู้ป่วย 1 คน โดยผู้ป่วยจะรับประทานยาแพ็กซ์โลวิดขนาด 150 มิลลิกรัม 2 เม็ดต่อครั้ง คู่กับยาริโทนาเวียร์ 100 มิลลิกรัม 1 เม็ดต่อครั้ง วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน

ขณะนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาให้การอนุมัติการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์และยาแพ็กซ์โลวิดเป็นกรณีฉุกเฉิน โดยคาดว่าจะอนุมัติให้กับยาโมลนูพิราเวียร์ในช่วงต้นเดือน ธ.ค. และหลังจากนั้นจึงจะอนุมัติให้กับยาแพ็กซ์โลวิด

ก่อนหน้านี้ นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ได้ประชุมหารือกับผู้แทนบริษัทไฟเซอร์ในประเด็นยาแพ็กซ์โลวิด เพื่อติดตามข้อมูลการศึกษาวิจัยการใช้ยา รวมถึงการจัดหายามาใช้รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในประเทศไทย ซึ่งทางบริษัทได้แจ้งราคายาที่จะขายให้กับประเทศไทยแล้ว แต่ขอไม่ให้เปิดเผยราคาต่อสาธารณะ รวมทั้งได้ขอให้ไทยแจ้งประมาณจำนวนยาที่จะสั่งจอง ซึ่งก็บอกไปคร่าวๆ แล้ว โดยได้หารือกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแล้ว พร้อมแจ้งทางบริษัทไปว่า เราต้องการยาโดยเร็วที่สุด ซึ่งได้ขอให้นำเข้ามาในไตรมาสแรกของปี 2565

ทางบริษัทแจ้งว่าขณะนี้มีปริมาณการสั่งจองเข้ามาค่อนข้างมาก หลังจากนี้ทางไฟเซอร์จะกลับไปทำสัญญาการสั่งจองเบื้องต้น เพื่อนำกลับมาให้ลงนามร่วมกัน คาดว่าน่าจะมีการเซ็นสัญญาจองปลายสัปดาห์นี้ เช่นเดียวกับยาโมลนูพิราเวียร์ ที่อยู่ระหว่างกรมบัญชีกลางพิจารณาระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง คาดว่าสัปดาห์นี้น่าจะได้เซ็นสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง และการนำเข้ายาคงเป็นเดือน ม.ค.-ก.พ. 2565

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook