โลกตะลึง พบผู้ติดเชื้อไวรัส HIV คนที่ 2 หายเองได้โดยไม่ได้รับการรักษา
หญิงวัย 30 ปี จากอาร์เจนตินา เคยติดเชื้อ HIV แต่หายเองได้โดยไม่รักษา เป็นคนที่ 2 ของโลก ต่อจากผู้ป่วยคนแรกจากซานฟรานซิสโก
เกิดเป็นปรากฏการณ์ทางการแพทย์ครั้งสำคัญของโลก เมื่อรายงานทางการแพทย์จาก Archives of Internal Medicine ระบุว่า หญิงชาวอาร์เจนตินาวัย 30 ปีที่ติดเชื้อ HIV เมื่อปี 2556 สามารถกำจัดเชื้อไวรัส HIV ออกจากร่างกายเองได้โดยไม่ได้รับการรักษาไม่ว่าจะเป็นด้วยยาหรือการบำบัดใดๆ โดยหลังการทดสอบเซลล์จำนวนมากกว่าหนึ่งพันล้านเซลล์ของเธอ แพทย์ระบุว่าไม่พบการติดเชื้อไวรัส HIV อีกต่อไป
หลังการติดเชื้อในปี 2556 หญิงคนดังกล่าวไม่ได้เข้ารับการรักษาจนกระทั่งในปี 2563 เธอตัดสินใจรับยาต้านไวรัส Tenofovir, Raltegravir และ Emtricitabine เพื่อป้องกันการส่งเชื้อให้กับลูกในครรภ์ โดยเธอรับยาเป็นเวลาเพียง 6 เดือนเท่านั้น ภายหลังจากการคลอดลูก ดร.ซู หยู จากสถาบัน Ragon Institute of Massachusetts General Hospital, MIT and Harvard ผู้เขียนงานวิจัยทำการตรวจสอบเม็ดเลือดและเนื้อเยื่อจากรก พบว่าเธอเคยได้รับเชื้อ HIV จริง แต่ไม่มีเชื้อที่สามารถแพร่ต่อได้อีกต่อไป และยังไม่สามารถอธิบายกลไกการกำจัดเชื้อเองได้อย่างชัดเจน
สำนักข่าว BBC ระบุว่าแพทย์เชื่อว่าระบบภูมิคุ้มกันของหญิงคนนี้อาจสามารถกำจัดตัวไวรัสได้เอง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญต่างลงความเห็นว่าหากมนุษย์สามารถใช้ประโยชน์จากกระบวนการดังกล่าวได้ นี่อาจจะเป็นทางออกของมนุษยชาติในการรับมือกับการติดเชื้อไวรัส HIV ซึ่งจะพลิกโฉมวงการแพทย์ไปตลอดกาล
การศึกษาพบข้อมูลที่ชี้ว่ามนุษย์บางคนเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการกำจัดเชื้อไวรัส HIV ได้เอง บางคนมียีนส์ที่สามารถระงับการติดเชื้อได้ โดยก่อนหน้านี้มีอีกหนึ่งบุคคลที่ไม่ประสงค์เปิดเผยตัวตนได้ติดเชื้อ HIV เช่นกัน แต่ร่างกายสามารถกำจัดเชื้อได้เองในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่บนโลกไม่มีความสามารถพิเศษนี้จึงต้องใช้ยาต้านไวรัส HIV ไปตลอดชีวิต
ด้านเว็บไซต์ TIME ระบุว่า หญิงชาวอาร์เจนตินาคือผู้ที่อยู่ร่วมกับ HIV คนที่สองของโลกที่สามารถหายได้เองในลักษณะนี้ โดยผู้ป่วยที่รู้จักกันในนาม "The San Francisco patient" คือคนแรกที่สามารถกำจัด HIV ได้เองในปี 2563
ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา ทีมแพทย์ของ ดร.หยูทำงานหนักร่วมกับหญิงชาวอาร์เจนตินามาโดยตลอด มีการตรวจเซลล์ไปแล้วมากกว่า 1,500 ล้านเซลล์เพื่อหาคำอธิบายจากยีนส์ของตัวไวรัสว่าอาจจะยังสามารถพัฒนาและแพร่เชื้อได้อีกหรือไม่ แต่จนท้ายที่สุดก็ไม่พบหลักฐานนั้น พบเพียงแค่ยีนส์ของไวรัสที่ยืนยันว่าหญิงคนนี้เคยติดเชื้อไวรัส HIV เท่านั้น และเป็นหลักฐานที่คล้ายกันกับสิ่งที่พบกับผู้ป่วยคนแรกจากซานฟรานซิสโก