สุดสลด คุณตาวัย 89 ปี เส้นเลือดสมองแตก ถูกส่งไปหาเตียงไกล 150 กม. สุดท้ายเสียชีวิต

สุดสลด คุณตาวัย 89 ปี เส้นเลือดสมองแตก ถูกส่งไปหาเตียงไกล 150 กม. สุดท้ายเสียชีวิต

สุดสลด คุณตาวัย 89 ปี เส้นเลือดสมองแตก ถูกส่งไปหาเตียงไกล 150 กม. สุดท้ายเสียชีวิต
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 22 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา นายสุทัศน์  บุญเป็ง อายุ 89 ปี เกิดเส้นเลือดในสมองแตก ภายในบ้าน พื้นที่ ต.หนองหอย อ.เมือง เชียงใหม่ ญาตินำอาหารเย็นมาส่ง มาพบขณะที่คุณตานั่งหมดสติพิงกำแพงอยู่ในบ้าน จึงได้ปฐมพยาบาลเบื้องต้น พร้อมกับแจ้งเจ้าหน้าที่กู้ภัย นำส่งโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ที่อยู่ใกล้บ้านที่สุด  

แต่จากการตรวจสอบ พบว่าคุณตาสุทัศน์มีสิทธิ์บัตรทองรักษาอีกโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้กัน จากนั้นโรงพยาบาลดังกล่าวได้แจ้งกับญาติว่าเตียงเต็ม เจ้าหน้าที่ได้ประสานหาเตียงรักษาโรงพยาบาลจอมทอง โรงพยาบาลสันป่าตอง โรงพยาบาลสันกำแพง โรงพยาบาลดอยสะเก็ด และ โรงพยาบาล ในพื้นที่ จ.ลำพูน แต่ไม่เตียงว่าง สุดท้ายประสานไปยังโรงพยาบาลฝาง ซึ่งระหว่างนั้นตาสุทัศน์ ต้องนอนรอการประสานหาเตียงโรงพยาบาลที่สามารถเข้ารับการรักษาได้อีกประมาณ 6 ชม.

จากนั้นต้องขับรถโรงพยาบาลจากโรงพยาบาลต้นสังกัดไปโรงพยาบาลฝาง ระยะทาง 156 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3  ชม. และถึงที่โรงพยาบาลในช่วงกลางดึก เวลาประมาณ 03.00 น. จากนั้นแพทย์ประเมินว่ามีอาการเลือดคั่งในสมองถึง 90% และ นอนรักษาตัวโรงพยาบาลฝาง จนกระทั่งเสียชีวิตเวลา 16.45 น. ของวันที่ 23 พฤศจิกายน

ทางญาติต้องฝากร่างของผู้เสียชีวิต ก่อนจะต้องเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ ไปรับศพของคุณตาที่ โรงพยาบาลฝาง ในช่วงเช้าของวันที่ 24 พฤศจิกายน ทำให้ต้องเสียเวลาในการเดินทาง การแจ้งตายในพื้นที่ จ.ฝาง ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการนำร่างคุณตากลับมาบำเพ็ญกุศลศพที่บ้านในตัวเมืองเชียงใหม่พื้นที่อีกกว่า 7 พันบาท  

นางวราภรณ์ เชื้อเขียว อายุ 58 ปี ญาติของผู้เสียชีวิต เล่าว่า หลังพบคุณตาหมดสติ จึงรีบโทรแจ้ง 1669 ให้เข้ามาช่วยนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล  ตอนแรกทางผู้ป่วยถูกนำตัวส่งที่โรงพยาบาลใกล้บ้านที่สุด หลังจากนั้นตนได้แจ้งว่าผู้ป่วยมีสิทธิ์บัตรทอง ทางโรงพยาบาลจึงประสานนำส่งต่อไปยังอีกโรงพยาบาลที่มีสิทธิ์บัตรทองอยู่และถูกนำตัวส่งต่อในเวลาต่อมา แต่เมื่อมาถึงที่โรงพยาบาลดังกล่าว ทางโรงพยาบาลแจ้งว่าตอนนี้เตียงเต็ม ทำให้ต้องรอการประสานเพื่อหาโรงพยาบาลที่สามารถส่งต่อได้ แต่หลังจากการประสานโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วทั้งในพื้นที่ตัวเมืองเชียงใหม่ ก็ไม่มีโรงพยาบาลไหนที่สามารถรับผู้ป่วยได้ ทั้งโรงพยาบาลสันกำแพง , ดอยสะเก็ด , สันป่าตอง , จอมทอง และโรงพยาบาลในพื้นที่ จ.ลำพูน จนกระทั่งสุดท้ายผู้ป่วยต้องได้ถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลในพื้นที่ อ.ฝาง ในที่สุด 

ด้าน นางวรจิตร กฤตยานุกูล อายุ 61 ปี ญาติผู้เสียชีวิตอีกราย บอกว่า ภายหลังจากที่ผู้ป่วยถูกนำตัวส่งมายังโรงพยาบาลฝาง ทางพยาบาลได้แจ้งว่าอาการของคนไข้ค่อนข้างวิกฤตและไม่สามารถรักษาได้ พร้อมกับบอกอีกว่าให้นำผู้ป่วยกลับบ้านจะดีกว่า แต่รถของโรงพยาบาลไม่มีแล้ว และทางญาติผู้ป่วยต้องหารถมารับผู้ป่วยเอง ทำให้ตนต้องไปติดต่อรถโรงพยาบาลที่มาส่งก่อนหน้านี้

จากนั้นตนได้ประสานไปยังโรงพยาบาลที่มาส่ง แต่ทางโรงพยาบาลได้แจ้งว่า ตอนนี้รถที่ไปส่งผู้ป่วยได้เดินทางออกมาไกลแล้ว อีกทั้งแจ้งด้วยทางโรงพยาบาลไม่มีนโยบายกลับไปรับผู้ป่วย นอกจากทางแพทย์จะทำเรื่องส่งกลับเท่านั้นและเป็นหน้าที่ของโรงพยาบาลที่นำส่งแล้วและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว ทำให้ตนต้องแจ้งกับทางโรงพยาบาลให้ทำเรื่องแอดมิทที่โรงพยาบาล แต่ทางโรงพยาบาลก็แจ้งกับตนว่าสามารถรักษาได้ตามอาการเท่านั้นทำให้ต้องนอนดูอาการผู้ป่วย อยู่ที่โรงพยาบาลนานหลายชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 03.00 น. จนกระทั่งผู้ป่วยมาเสียชีวิตในเวลาประมาณ 16.45 น. ในที่สุด 

นางวรจิตร บอกอีกว่า หากผู้ป่วยได้รับการรักษาแบบทันท่วงทีอาจจะมีโอกาสรอด 50/50 เนื่องจากผู้ป่วยก็มีอายุมากแล้ว ประกอบกับมีอาการเลือดออกในสมอง ทำให้มีอาการค่อนข้างหนัก และหากได้รับการผ่าตัดก็มีโอกาสรอด 50/50

แต่จากที่ผู้ป่วยถูกนำส่งโรงพยาบาลพื้นที่ อ.ฝาง เท่ากับว่าไม่ได้รับการรักษาเลย เนื่องจากต้องเสียเวลาเดินทาง ได้เพียงใส่ท่อและเครื่องช่วยหายใจเท่านั้น และจากผลเอกซเรย์ก็พบว่ามีเลือดออกในสมองเยอะมาก ทำให้ไปทับการสั่งงานของร่างกาย ซึ่งในจุดนี้ตนไม่ได้ติดใจอาการของผู้ป่วยแต่อย่างใด แต่ติดใจตรงที่ทำไมโรงพยาบาลต้องส่งตัวผู้ป่วยไปรักษาถึงที่ อ.ฝาง ทำให้ญาติต้องลำบากทั้งการเดินทาง และเสียเวลาในการเดินทางไปรับศพ เนื่องจากญาติอยู่ในพื้นที่เมืองเชียงใหม่ แต่ต้องเดินทางไปรับศพถึง อ.ฝาง ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมาย ทั้งๆ ที่หากผู้ป่วยถูกนำส่งที่โรงพยาบาลในพื้นที่ตัวเมือง ก็จะไม่ได้ยุ่งยากเช่นนี้ และก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ที่ผู้ป่วยในตัวเมืองถูกนำส่งไปรักษานอกเมือง

ตนก็มองว่าอาจจะเป็นเพราะผู้ป่วยที่มีจำนวนมากในตอนนี้ ซึ่งในส่วนนี้ตนก็ไม่อยากติดใจแต่อย่างใด และอยากให้กรณีที่เกิดขึ้นนี้เป็นกรณีศึกษา หรืออุทาหรณ์ในการส่งตัวผู้ป่วยไปรับการรักษาของโรงพยาบาล เพราะไม่อยากให้เกิดขึ้นเช่นนี้อีก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook