สามีคนขับเบนซ์ บอก บ.ประกัน เห็นใจครอบครัวผู้สูญเสียบ้าง ไม่ใช่คิดแต่จะสู้กันทาง กม.
จากกรณีที่ นายสมชาย และ นางสมเร็จ เกรัมย์ สองสามีภรรยาชาว อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ ได้ออกมาร้องขอความเป็นธรรม กรณีที่ น.ส.พัชราภา หรือ น้องหญิง อายุ 21 ปี ลูกสาวถูกภรรยาทนายความ ขับรถเบนซ์ชนจนเสียชีวิต บริเวณก่อนถึงทางกลับรถบ้านสองชั้น ต.สองชั้น อ.กระสัง เมื่อวันที่ 1 พ.ค.64 ที่ผ่านมา ซึ่งน้องได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตที่ รพ. ซึ่งจากการรวบรวมพยานหลักฐาน ทางพนักงานสอบสวนก็ได้แจ้งข้อกล่าวหาคนขับรถเบนซ์ ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งคนขับรถเบนซ์ก็ยอมรับผิด และได้จ่ายเงินเยียวยาให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตเบื้องต้น 220,000 บาท แต่กรณีที่ทางรถเบนซ์ทำประกันภัยไว้ ทางบริษัทประกันกลับปฏิเสธการจ่ายเงินสินไหม อ้างว่าเป็นการประมาทร่วม ถึงแม้ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ จะลงความเห็นว่า คนขับรถเบนซ์ เป็นฝ่ายผิดฝ่ายเดียวไม่ได้ประมาทร่วม ซึ่งในทางปฏิบัติบริษัทประกันภัย จะต้องจ่ายเงินสินไหมตามวงเงินประกัน 2 ล้านบาท บวกกับ พ.ร.บ.ภาคบังคับอีก 500,000 บาท รวมเป็น 2.5 ล้านบาทให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิต แต่ทางบริษัทยังดื้อไม่ยอมจ่าย ซ้ำยังมอบอำนาจให้ทนายความไปแจ้งความที่ สภ.กระสัง ให้เอาผิดกับคนขับรถเบนซ์ฐานฉ้อฉลอีกด้วย
ล่าสุดวันนี้ (3 ธ.ค.64) นายโชติวุฒิ อดีตประธานสภาทนายความ และเป็นสามีของคนขับรถเบนซ์ชนน้องหญิง ได้ออกมาระบุว่า คดีดังกล่าวศาลได้มีคำพิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว ซึ่งคนขับรถเบนซ์ก็ถูกรอลงอาญา และถูกคุมประพฤติก็ต้องไปรายงานตัวต่อคุมประพฤติและทำประโยชน์ให้กับสังคม ซึ่งนอกจากจะได้รับโทษทางอาญาแล้ว สภาพจิตใจก็ไม่ต่างจากครอบครัวของผู้เสียชีวิต เมื่อพูดถึงเหตุการณ์ดังกล่าวก็จะร้องไห้ทุกครั้ง จึงไม่ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อเพราะกระทบกระเทือนสภาพจิตใจ และล่าสุดได้ทราบข่าวทางสื่อต่างๆ ว่าทางบริษัทประกันได้แจ้งความเอาผิดคนขับรถเบนซ์อีกฐานฉ้อฉล ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเครียด เพราะรู้สึกว่าในฐานะคู่กรณีก็ได้รับโทษทางอาญาทั้งเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตและทำตามกระบวนการยุติธรรมกฎหมายไทยทุกอย่างแล้ว ในส่วนของคนขับรถเบนซ์ก็น่าจะยุติแล้ว แต่กลับมาถูกบริษัทประกันฟ้องทั้งที่ก็เป็นผู้ใช้บริการบริษัทประกัน
นายโชติวุฒิ ยังกล่าวอีกว่า กรณีที่คนขับรถเบนซ์ถูกบริษัทประกันแจ้งความกล่าวหาว่าฉ้อฉลนั้น ในความเป็นจริงการที่คนขับจะให้การอะไรอย่างไร ก็เป็นสิทธิของผู้ต้องหา แต่ท้ายที่สุดก็ขึ้นอยู่กับพนักงานสอบสวนที่จะลงความเห็นว่าฝ่ายใดประมาท คงไม่ได้รับฟังจากการให้ถ้อยคำของคนขับ แต่ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่ปรากฎมากกว่า เพราะส่วนใหญ่ผู้ต้องหาคดีอาญาทั่วไปก็จะไม่ได้ให้การตรงกับข้อเท็จจริง แต่สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ และศาลท่านจะเป็นผู้วินิจฉัย เช่นเดียวกับคดีนี้ทางบริษัทอาจจะอ้างตามคำให้การของคนขับเบนซ์เบื้องต้น ซึ่งในขณะเกิดเหตุสติสัมปชัญญะคนขับอาจจะไม่ครบถ้วน เพราะด้วยอาการตกใจ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรที่บริษัทประกันแจ้งความ ก็พร้อมจะไปให้ปากคำแต่ขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับการประสานจากพนักงานสอบสวน
นายโชติวุฒิ ยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า กรณีนี้ทางบริษัทอาจจะมองว่าได้รับความเสียหายเป็นตัวเงิน ไม่ว่าจะยอดเท่าไหร่ก็แล้วแต่ ในส่วนตัวอยากให้คำนึงความสูญเสียที่เกิดขึ้นมากกว่าการที่จะมาต่อสู้ในเชิงของกฎหมาย ซึ่งในฝ่ายรถเบนซ์อาจจะสูญเสียเกี่ยวกับทรัพย์สิน แต่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้รับผลกระทบทางด้านสภาพจิตใจ สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักและเป็นความหวังของครอบครัวที่ไม่มีอะไรมาทดแทนได้ ก็อยากจะวิงวอนขอความเห็นใจจากผู้บริหารบริษัทประกัน อยากให้คำนึงถึงผลกระทบของผู้สูญเสีย มากกว่าที่จะมาต่อสู้ในการกฎหมาย แม้ว่าเงินจำนวนดังกล่าวจะไม่สามารถทำให้คนเป็นพ่อแม่พ้นจากทุกข์ได้ แต่ก็สามารถช่วยเยียวยาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวได้ อย่างไรก็ตามตั้งแต่เป็นทนายความมากรณีนี้น่าจะเป็นเคสแรกที่บริษัทประกันแจ้งความผู้เอาประกัน