ช่างตัดผมหนุ่มวัย 28 ถูกเพื่อนป่วยจิตเวชฟันหัว เมียใกล้คลอดเศร้า พ่อไม่ทันเห็นหน้าลูก

ช่างตัดผมหนุ่มวัย 28 ถูกเพื่อนป่วยจิตเวชฟันหัว เมียใกล้คลอดเศร้า พ่อไม่ทันเห็นหน้าลูก

ช่างตัดผมหนุ่มวัย 28 ถูกเพื่อนป่วยจิตเวชฟันหัว เมียใกล้คลอดเศร้า พ่อไม่ทันเห็นหน้าลูก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ช่างตัดผมหนุ่มวัย 28 ถูกเพื่อนที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็กฟันหัวดับ ตำรวจล้อมจับผู้ก่อเหตุสุดระทึก ประวัติเป็นผู้ป่วยจิตเภทซับซ้อน 

จากกรณี เมื่อเวลา 20.50 น. (2 ธ.ค.64) ขณะที่ ร.ต.อ.อดิศักดิ์ สอนบัว รอง สว.(สอบสวน) สภ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ได้รับแจ้งเหตุ คนถูกฟันศีรษะได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่หน้าร้านตัดผมชายร่วมสมัย เลขที่ 282/2 ถนนพลับผือ ม.2 ต.บ้านผือ เขตเทศบาลตำบลบ้านผือ จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.กานต์ ตั้งวิจิตร ผกก.สภ.บ้านผือ พ.ต.ท.กิติศักดิ์  พรสงวนทรัพย์ สวป.สภ.บ้านผือ พ.ต.ต.สุริยาโชติชัย สว.สส.สภ.บ้านผือ ร.ต.อ.มนต์ชัย พลายแสง รอง สว.สส.สภ.บ้านผือ นำกำลังตำรวจชุดเผชิญเหตุรุดไปตรวจสอบ พร้อมด้วยรถกู้ชีพ รพ.บ้านผือ อาสากู้ภัยมูลนิธิส่งเสริมธรรม อาสากู้ภัยมูลนิธิอุดรสว่างเมธาธรรม จุดบ้านผือ ให้การช่วยเหลือ

ที่เกิดเหตุพบผู้บาดเจ็บทราบถูกฟันบริเวณขมับขวายาวถึงเบ้าตาเป็นแผลฉกรรจ์ นอนจมกองเลือดอยู่หน้าร้านตัดผม ทราบชื่อภายหลังคือ นายพัฒนวิชญ์ อายุ 28 ปี เจ้าของร้านตัดผม พลเมืองดีและเจ้าหน้าที่กู้ชีพ และอาสากู้ภัย รีบนำตัวส่งโรงพยาบาลบ้านผือ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบมีดพร้ายาวประมาณ 50 ซม. หักตกอยู่ในที่เกิดเหตุ 1 เล่ม และด้ามมีดยาวประมาณ 20 ซม. จำนวน 2 ด้าม ตำรวจจึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

ส่วนผู้ก่อเหตุ ทราบชื่อภายหลังคือ นายอนุชิต อายุ 27 ปี หลังก่อเหตุได้ขี่รถจักรยานยนต์ยามาฮ่าฟีโน่ สีแดง-ขาว ไม่ทราบทะเบียน หลบหนีไปหลบซ่อนตัวอยู่ในบ้าน พ.ต.อ.กานต์ ตั้งวิจิตร ผกก.สภ.บ้านผือ นำกำลังตำรวจติดตามไปยังบ้านนายอนุชิต ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 100 เมตร และขังตัวเองอยู่ในห้องนอนชั้นสอง ตำรวจและญาติได้เกลี้ยกล่อมให้วางมีดแล้วลงมามอบตัวกับตำรวจ แต่นายอนุชิตไม่ยอม พร้อมกับได้ร้องตะโกนออกมาว่า หากใครขึ้นมาจะฟันให้ตาย ตำรวจจึงล้อมบ้านนายอนุชิตไว้ทั้งคืน และเกรงว่าตำรวจและคนร้ายจะได้รับอันตราย เนื่องจากเป็นเวลากลางคืน จึงประสานงานขอสนับสนุน แก๊สน้ำตาแบบขว้าง ปืนช็อตไฟฟ้า และเครื่องยิงกระสุนยาง จาก กก.สส.ภ.จ.อุดรธานี เพื่อเตรียมแผนปฏิบัติการเข้าจับกุมตัวคนร้ายที่อยู่ในอาการคลุ้มคลั่ง

ในตอนรุ่งเช้า เวลา 08.30 น.วันที่ 3 ธันวาคม ตำรวจได้กันประชาชนออกห่างพื้นที่ ก่อนจะขว้างแก๊สน้ำตาเข้าไปในห้องที่คนร้ายหลบอยู่ ประมาณ 1 นาที คนร้ายทนแก๊สน้ำตาไม่ไหว เดินออกมาจากบ้านด้วยอาการอ่อนแรง ตำรวจจึงเข้าควบคุมตัวได้โดยละม่อม ควบคุมตัวไปสอบสวนที่โรงพัก ประสานหมอและพยาบาลมาฉีดยาระงับประสาท เพื่อให้อาการคนร้ายสงบ พ.ต.อ.กานต์ ตั้งวิจิตร ผกก.สภ.บ้านผือ  เปิดเผยว่า นายอนุชิต ผู้ต้องหา มีประวัติเสพยาบ้าจนมีอาการคลุ้มคลั่ง ส่วนแม่ก็มีอาการทางประสาทเช่นกันแต่อาการไม่รุนแรง และตำรวจได้มาระงับเหตุหลายครั้ง และแนะนำญาติให้นำตัวไปบำบัดรักษา แต่ผู้ต้องหาขัดขืนไม่ยอมไปบำบัด และชอบหลบหนีเมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงบ้านจนมาก่อเหตุสยอง หลังก่อเหตุคนร้ายได้หลบหนีมาหลบซ่อนอยู่ภายในบ้าน ซึ่งเป็นบ้าน 2 ชั้นไม้ครึ่งปูน พ่อแม่และตำรวจได้เกลี้ยกล่อมให้มอบตัว แต่ไม่ยินยอม ขู่ว่าหากใครเข้ามาจะฟัน ตำรวจได้ล้อมบ้าน รอจนถึงรุ่งเช้า จึงปฏิบัติการตามยุทธวิธีจากเบาไปหาหนักทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยแก่เจ้าหน้าที่ คนร้าย และชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียง โดยขว้างแก๊สน้ำตาเข้าไปในห้องบนชั้น 2 ของบ้านที่ คนร้ายหลบซ่อนควบคุมตัวนำไปสอบสวนที่โรงพัก เบื้องต้นแจ้งข้อกล่าวหาว่า “ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา พาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร”

 

ต่อมาเมื่อเวลา 10.30 น. วันเดียวกัน พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผบก.ภ.จ.อุดรธานี เดินทางมาสอบปากคำ นายอนุชิต หรือเจน คนร้ายที่ก่อเหตุที่ห้องประชุม สปก. สภ.บ้านผือ โดยนายอนุชิต ให้การวกวน แต่ยอมรับว่าเป็นคนก่อเหตุใช้มีดพร้า 2 เล่ม ไล่ฟันกลุ่มผู้ตายแตกกระเจิง ก่อนฟันศีรษะผู้ตายหลายครั้ง เพราะคิดว่าผู้ตายมีอาวุธปืน และก่อนจะมาก่อเหตุสยองได้ขอเงินพ่อซื้อเหล้า จากการตรวจสอบสารเสพติดในเบื้องต้นไม่พบแต่อย่างใดโดยได้รับความร่วมมือจากทาง จนท.แผนกผู้ป่วยจิตเวช  รพ.บ้านผือ และตรวจสอบประวัติทราบว่า นายอนุชิต หรือเจน เคยเข้ารับการรักษาตัวเป็นผู้ป่วยจิตเภทซับซ้อน จากการใช้ยาเสพติด (ยาบ้า) อย่างต่อเนื่อง เมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา ก่อนมาก่อเหตุฆ่าผู้อื่นเสียชีวิต และวันนี้จะไม่มีการควบคุมตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ เนื่องจากคนร้ายมีอาการป่วยทางจิตรุนแรง หรืออยู่ในระดับสีแดง และเกรงว่าคนร้ายจะได้รับอันตรายถูกรุมประชาทัณฑ์ และขอฝากถึงคนที่มีญาติป่วยจิตเวชในลักษณะเดียวกันกับคนร้าย ให้รีบนำตัวเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง เหตุการณ์สลดเช่นนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นอีก”

น.ส.ศุภากร ธัญเดชยศดี หัวหน้าแผนกสุขภาพจิตและจิตเวช  รพ.บ้านผือ เปิดเผยว่า ปัจจุบันคนไข้จิตเวชในพื้นที่มีจำนวนมาก ส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ก้าวร้าว ส่วนหนึ่งยังติดสารเสพติดอยู่จึงเป็นการยากมากที่จะเข้าถึง แต่ก็ไม่ได้ละเว้นในการติดตามเยี่ยมที่บ้านพร้อมกับเจ้าหน้าที่ส่วนเกี่ยวข้อง อย่างกรณีนี้ก็บูรณาการร่วมกับหน่วยนาคาพิทักษ์ และไม่ได้ปล่อยวางเลย แต่ด้วยครอบครัวนี้เป็นจิตเวชซ้ำซ้อน เข้าถึงค่อนข้างยาก ต้องอาศัยผู้นำชุมชนช่วยติดตามดูแล อาการของรายนี้ถือว่ารุนแรง มีอาการหุนหันพลันแล่น ถึงคนไข้ขาดยาแต่เราก็ติดตามดูอาการอยู่ตลอด ก่อนหน้านี้คนไข้มีอาการสงบไม่ก่อเหตุวุ่นวาย คนในชุมชนไม่ได้หวาดกลัวเหมือนเดิม แต่ช่วงก่อเหตุน่าจะมีอาการอีกครั้งประกอบดื่มสุรา ซึ่งเป็นสิ่งกระตุ้นอีกทางหนึ่งในฐานะตัวแทนเจ้าหน้าที่สาธารณสุข คนไข้จิตเวชไม่ว่าจะชนิดไหนก็ตาม อยากจะให้ทานยารักษาต่อเนื่อง ให้ตรวจอาการอย่างสม่ำเสมอ ในครอบครัวถ้าหากมีผู้ป่วยจิตเวชแล้วมีอาการที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม อยากให้รีบเข้ามารับการรักษา เพื่อป้องกันการเกิดเหตุร้ายอย่างนี้อีก

จากสอบปากคำคนร้ายแล้วเสร็จ พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี นำกำลังตำรวจลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยตำรวจพิสูจน์หลักฐาน เจ้าหน้าที่ รพ.บ้านผือ พบกองเลือดแห้งนองพื้น และหมวกแก๊ปของผู้ตายหน้าร้านตัดผม เพื่อตรวจสอบหาหลักฐานเพิ่มเติม ถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีกับคนร้าย ถึงแม้จะเป็นผู้ป่วยทางจิตก็ตาม ก่อนจะเดินเท้าไปตรวจสอบบ้านคนร้าย หลังจากก่อเหตุได้ขี่รถจักรยานยนต์หลบซ่อนตัวอยู่ภายในห้องนอนบนชั้นสองของบ้าน และถูกตำรวจจับกุมตัวได้ หลังจากตำรวจโยนแก๊สน้ำตาเข้าไปเพียง 1 นาที

นายวิลัย อายุ 54 ปี พ่อผู้ก่อเหตุ เปิดเผยว่า ลูกชายมีอาการทางประสาทมานานแล้ว เข้ารับการรักษาประมาณ 2 ปีที่แล้ว แต่ทำการรักษาได้เพียง 1 เดือน รพ.จิตเวช ที่ จ.เลย ก็ส่งตัวกลับมา หมอแจ้งว่าอาการทุเลาลงแล้ว และย้ำว่าพยายามให้เขากินยาตลอด แต่ลูกชายก็ไม่ยอมทำตาม ไม่ยอมกินยา ชอบออกไปเที่ยวเล่น ส่วนภรรยาหรือแม่ของเขาก็มีอาการคล้ายๆกัน ตอนกลับมาอยู่บ้านด้วยกันใหม่ๆ ตัวเองยังไม่เชื่อว่าลูกจะมีอาการหนักแบบนี้ เคยเข้าไปบอกไปเตือน จนทะเลาะกันบ่อยครั้ง หนักสุดลูกชายกระทืบจนตกบ้านแล้วมาต่อยกันข้างล่างจนตนเองได้รับบาดเจ็บ ตอนนั้นเจ็บพอสมควรได้แต่เก็บไว้ในใจไม่กล้าบอกใคร เพราะอายเขา และไม่คิดเลยว่าลูกชายจะกล้าทำถึงขนาดนั้น ก่อนเกิดเหตุกำลังจะเข้านอนพอดี ช่วงเย็นก็ยังพูดคุยกันดีๆอยู่ ตอนลูกชายออกจากบ้านไปก็ไม่รู้ไม่เห็นว่าพกมีดออกไปหรือไม่ ยังขอเงินติดตัวไป 100 บาท แล้วก็ขี่รถออกไป ประมาณ 20 นาทีก็กลับเข้ามาบ้านอีกครั้ง แล้วมานั่งอยู่หน้าบ้าน นั่งอยู่ประมาณ 10 นาที ก็ขี่รถจักรยานยนต์ออกไปอีกครั้ง ดูอาการแล้วคิดว่าน่าจะดื่มเหล้ามาอยู่

อยากบอกครอบครัวผู้เสียชีวิตว่า กราบขอโทษแทนลูกด้วย ผมไม่นึกไม่ฝัน ตั้งแต่เด็กเขากับผู้ตายก็เล่นอยู่ด้วยกันมาตลอด ไม่คิดว่าจะกล้าทำถึงเพียงนี้ กราบขอโทษและอโหสิกรรมให้ลูกผมด้วย และอยากจะบอกลูกชายว่า พ่อเคยบอกเคยเตือนแล้ว ทำอะไรก็ได้อย่าให้พ่อเสียใจ ครั้งนี้พ่อช่วยลูกไม่ได้แล้วนะ ถึงแม้ลูกไม่ฟังพ่อก็ขอให้ฟังคนอื่นบ้าง แล้วมันจะดีขึ้นนะลูก

น.ส.พรรณิกา อายุ 21 ปี ภรรยาผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า แต่งงานอยู่กินกันมาเกือบสองปีแล้ว พี่เขารักเพื่อนฝูง รักเมียด้วย แต่แกเป็นคนดื้อ ไม่ทราบว่าเหตุเกิดขึ้นตอนไหน แต่เพื่อนของแฟนโทรมาบอกตอน 20.30 น. ช่วงเวลาเกิดเหตุอยู่ที่บ้านของตัวเองที่ ต.กลางใหญ่ รอแฟนให้ไปรับ รู้สึกเสียใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะตอนนี้ตั้งครรภ์ได้ 8 เดือนแล้ว ลูกในท้องเป็นเพศชาย ร่วมกันตั้งชื่อน้องไว้แล้วว่า “แทนคุณ” ซื้อเสื้อผ้าเด็ก อุปกรณ์เตรียมไว้รับขวัญลูกเรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็ต้องเป็นทั้งพ่อและแม่ให้เค้า ผู้ก่อเหตุไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว ตัวคนก่อเหตุเองมีพฤติกรรมแอบมาส่องที่บ้านและที่ร้านอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่มีใครสนใจแกสักคน จะเทียวปั่นจักรยานหรือขับมอเตอร์ไซค์มาดูแล้วก็ไปอยู่เป็นประจำ

สมัยเป็นเด็กสองคนนี้เป็นเพื่อนกันเล่นด้วยกัน พอโตมาก็ไม่วุ่นวายกัน เพราะคนก่อเหตุมีพฤติกรรมแบบนี้ เสียใจเพราะเหตุการณ์มันกะทันหันมาก เสียใจจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ รู้สึกโกรธมากกับตัวผู้ก่อเหตุ แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้ต้องปล่อยไปตามกฎหมาย หากแฟนยังมีชีวิตก็ยังคงจะบอกเหมือนเดิมว่าอย่าดื้อ เพื่อนฝูงทุ่มเทมาก ให้ตั้งใจทำมาหากิน ก่อนเกิดเหตุไม่มีลางสังหรณ์อะไรแค่รู้สึกใจหวิวๆเท่านั้น ก่อนหน้านี้บอกให้กลับบ้านเร็วๆ แฟนไม่ค่อยกินเหล้า แต่ติดเพื่อนมากกว่า ห้ามแล้วก็ไม่ฟังจนมาเกิดเหตุร้ายนี้ขึ้น

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook