ค่าย ประคองโลก
ถ้า THE DAY AFTER TOMORROW ทำได้แค่สะกิดต่อมความกลัว และนำมาซึ่งการพัฒนาเทคโนโลยีในการหา ที่อยู่ใหม่ นอกโลก
คล้ายกับเป็นการหนีปัญหา (โลกแตก) 2012 ก็น่าจะเป็นหนังภาคต่อ ที่มาช่วยกระชากความรู้สึก ของผู้คนให้หันกลับมามอง "โลกใบเก่า" พร้อมๆ กับตั้งคำถามว่า เราดูแลโลกใบนี้ได้ดีแค่ไหน
"วิกฤติด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม เป็นปัญหาที่ต้องแก้จากตัวบุคคล ดังนั้นหากเยาวชนมีนิสัยรู้รักษ์พลังงานตั้งแต่วัยเยาว์ ก็จะเป็นพลังสำคัญที่จะพลิกชะตากรรมของโลกในอนาคต"
แนวคิดดีๆ นี้นำมาซึ่งการจัดกิจกรรม ค่ายเยาวชน "Green Energy Camp" ค่ายอัจฉริยะพิทักษ์โลก โดยบัณฑิตวิทยาลัยด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) ที่พยายามสื่อสารให้ทุกๆ คน ได้รับรู้ถึงสถานการณ์ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมที่ขาดการดูแลอย่างจริงจัง จนนำมาซึ่งผลกระทบด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาวะขาดแคลนพลังงาน หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติอันเป็นผลพวงจากภาวะโลกร้อน ซึ่งการรับมือกับปัญหาดังกล่าวไม่อาจทำได้โดยใครเพียงคนเดียว แต่จะต้องเกิดจากความร่วมมือในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้พลังงานในทุกภาค ส่วนของสังคม เป็นการช่วยกันประคับประคองโลกใบนี้ให้คงความสวยงามต่อไป
ดร.อธิคม บางวิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ JGSEE กล่าวว่า เยาวชนเป็นอีกหนึ่งกลุ่มคนที่มีพลังและมีความสำคัญต่อการดูแลรักษาโลก หากเราสามารถปลูกฝังวินัยการใช้พลังงานได้ตั้งแต่วันนี้ ก็จะช่วยให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเยาวชนกลุ่มนี้จะทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ โลก ด้วยการเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ความรู้ สร้างเครือข่ายรู้รักษ์พลังงาน เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าให้กับเพื่อนๆ และคนรอบข้างต่อไป
สำหรับกิจกรรมภายในค่ายเริ่มต้นด้วยการให้นักศึกษาได้สะท้อนมุมมองความ คิดต่อภาวะโลกร้อนและวิกฤติพลังงาน ผ่านกิจกรรม Green Monitor ก่อนจะเข้าร่วมรับฟังการเปิดฉาก วิกฤติโลก วิกฤติพลังงานในประเทศไทย โดยวิทยากร ดร.อธิคม บางวิวัฒน์ และ ดร.บุญรอด สัจกุลนุกิจ ที่ไม่เพียงออกมาเล่าว่า ในไม่ช้าทั่วโลกอาจต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนพลังงาน แต่ยังเผยโฉมพลังงานทางเลือกล้ำยุคที่ทั่วโลกต่างให้ความสนใจ รวมถึงการเตรียมรับกับระบบเศรษฐกิจแนวใหม่บนฐานทรัพยากรชีวภาพในอีก 30 ปีข้างหน้าด้วย
จากนั้นจึงเริ่มทำการสำรวจพฤติกรรมการใช้พลังงาน โดยให้นักศึกษาคำนวณการใช้พลังงาน และอัตราค่าไฟฟ้าของตนเองในแต่ละวันที่อยู่ในค่าย นอกจากยังนี้ยังสนุกกับกิจกรรมปฏิบัติการ Power Green ตามหาวิธีลดโลกร้อน ก่อนจะปิดท้ายด้วยกิจกรรม "รวมพลังสานฝันให้โลก" โดยให้นักศึกษาร่วมระดมความคิด ถึงแนวทางการประหยัดพลังงาน เพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
ณุ - กฤษฎา ท่าพระเจริญ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 จากคณะวิศวกรรมศาสตร์เครื่องกล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ กล่าวว่า การได้เข้ามาร่วมกิจกรรมครั้งนี้ทำให้มุมมองต่อเรื่องโลกร้อนเปลี่ยนไป จากเดิมคิดว่าเป็นเพียงกระแส แต่ตอนนี้เชื่อแล้วว่าเป็นวิกฤติโลกที่เกิดขึ้นจริง และเกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์เอง ฉะนั้นเราทุกคนก็ต้องมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
"ผมประทับใจในส่วนของการเสวนาจากนักวิชาการมาก เพราะทำให้ได้รับทราบข้อมูลทั้งการใช้พลังงานของโลก และประเทศไทย ซึ่งไม่เคยทราบมาก่อน โดยประเทศไทยมีอัตราการใช้พลังงานเพิ่มมากขึ้นเกือบ 3 เท่าของ GDP จากข้อมูลเหล่านี้ทำให้ผมคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่พวกเราทุกคนต้องร่วมมือกันลดการใช้พลังงาน อีกทั้งผมยังมีความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับพลังงานทางเลือก ซึ่งจากการบรรยายได้ชี้ให้เห็นถึงพลังงานทางเลือกแนวใหม่ เช่น กังหันลมลอยฟ้า จุลินทรีย์สังเคราะห์พลังงาน และพลังงานนิวเคลียร์แบบฟิวชั่น เป็นต้น จากข้อมูลดังกล่าวเป็นแรงบันดาลใจให้ผมมุ่งมั่นในการศึกษาต่อด้านพลังงาน นิวเคลียร์ ซึ่งเป็นพลังงานทางเลือกที่ปราศจากคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เป็นต้นเหตุของภาวะโลกร้อน"
ด้าน ฝ้าย - ศศิธร บูรณะศรีเวช นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะวิศวกรรมเคมี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เสริมว่า พลังงานและสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องใกล้ตัวของเราทุกคน ซึ่งการเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ทำให้ได้ทราบข้อมูลพลังงานและสิ่งแวดล้อม เพิ่มเติมจากที่เคยรู้ โดยเฉพาะภาวะโลกร้อน ที่หากอุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นเพียงแค่ 1 องศาเซลเซียส ก็ส่งผลให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายและส่งผลกระทบต่อทุกชีวิตบนโลกได้แล้ว
"จากข้อมูลนี้ทำให้เราต้องหันกลับมามองตัวเองว่าจะมีส่วนช่วยโลกได้อย่าง ไรบ้าง โดยสิ่งที่คิดว่าจะเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากตัวเองตั้งแต่วันนี้ คือ เวลาใช้ไฟใช้น้ำก็ต้องปิดทันที ใช้ไฟเท่าที่จำเป็น และบอกต่อกับเพื่อนๆ ว่าพวกเราสามารถ.. ช่วยโลก ด้วยการสร้างวินัยการใช้พลังงานง่ายๆ เริ่มได้ที่ตัวเรา"
2012 ไม่ได้เป็นหนังที่ทำให้คนงมงาย หรือตื่นกลัวว่าโลกจะแตกวันนี้พรุ่งนี้ แต่หนังเตือนสติคนดูให้หันกลับมามองโลกที่เรากำลังยืนอยู่ แน่นอนว่า ไม่ใช่เพราะใครทำนาย หรือมีสิ่งเร้าใดๆ มาเร่งให้เกิดการดับสูญของโลก แต่เพราะมนุษย์คือตัวการสำคัญ หากมองไม่เห็นการกระทำอันเป็นการทำร้ายธรรมชาติของตัวเอง ก็รังแต่จะโทษคนอื่นเสมอไป