มัดรวมมาให้แล้ว! ของขวัญปีใหม่ 2565 ที่รัฐบาลซานต้าตู่ จัดให้ชาวไทยทั่วหล้า

มัดรวมมาให้แล้ว! ของขวัญปีใหม่ 2565 ที่รัฐบาลซานต้าตู่ จัดให้ชาวไทยทั่วหล้า

มัดรวมมาให้แล้ว! ของขวัญปีใหม่ 2565 ที่รัฐบาลซานต้าตู่ จัดให้ชาวไทยทั่วหล้า
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ตรวจสอบที่นี่ที่เดียวจบ! มาตรการ ของขวัญปีใหม่ 2565 ที่รัฐบาลซานต้าตู่ จัดให้ประชาชนคนไทยได้อิ่มเอมไปกับเทศกาลเฉลิมฉลองส่งท้ายปี

วันนี้ (21 ธ.ค.) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน มีมติเห็นชอบและรับทราบมาตรการของขวัญปีใหม่ 2565 จากหลากหลายกระทรวงและหน่วยงานรัฐ ดังต่อไปนี้

มาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจปี 2565 (มาตรการของขวัญปีใหม่ 2565)

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า วันนี้ (21 ธันวาคม 2564) คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบและรับทราบมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจปี 2565 (มาตรการของขวัญปีใหม่ 2565) เพื่อเป็นการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้สามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. มาตรการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ประชาชน ประกอบด้วย 2 มาตรการ ได้แก่

1.1 มาตรการช้อปดีมีคืน ปี 2565

มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ และสนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษีและผู้ประกอบกิจการการผลิตสินค้าท้องถิ่น โดยกำหนดให้ผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล หักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการเท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการสำหรับการซื้อสินค้าหรือการรับบริการในราชอาณาจักรให้กับผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

รวมถึงค่าซื้อหนังสือและค่าบริการหนังสือที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตและค่าสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้ลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชนแล้ว ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 30,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 โดยไม่รวมถึงค่าสินค้าและบริการบางชนิด เช่น ค่าสุรา เบียร์ และไวน์ ค่ายาสูบ ค่าน้ำมันและก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ ค่าบริการจัดนำเที่ยว ค่าที่พักในโรงแรม ค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าเบี้ยประกันวินาศภัย เป็นต้น ซึ่งเป็นไปตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร

1.2 มาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย

มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและบรรเทาภาระให้แก่ประชาชนที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ส่งเสริมการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประชาชน รวมถึงช่วยรักษาระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID–19 โดยการลดค่าธรรมเนียมการโอนจากร้อยละ 2 ลงเหลือร้อยละ 0.01 และลดค่าธรรมเนียมการจำนองจากร้อยละ 1 ลงเหลือร้อยละ 0.01 (เฉพาะการโอนและจดจำนองในคราวเดียวกัน) สำหรับที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์ เฉพาะที่มีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมบ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว อาคารพาณิชย์ และห้องชุด

ทั้งนี้ มาตรการจะมีผลบังคับใช้สำหรับการโอนและจดจำนองตั้งแต่วันถัดจากวันที่เผยแพร่ประกาศกระทรวงมหาดไทยในราชกิจจานุเบกษาจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565

2. มาตรการลดภาระผู้ประกอบการและ/หรือประชาชน ประกอบด้วย 3 มาตรการ ได้แก่

2.1 มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมการอนุญาตขายสุรา ยาสูบและไพ่ ตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560

มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาผลกระทบที่ผู้ประกอบการได้รับจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในช่วงปี 2564 โดยให้สิทธิยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ขายสุรา ยาสูบ ไพ่ ประเภทที่ 1 และประเภทที่ 2 เป็นระยะเวลา 1 ปี เฉพาะผู้ได้รับอนุญาตขายรายเดิมซึ่งได้รับผลกระทบที่ประสงค์จะขอใบอนุญาตขายสุรา ยาสูบและไพ่ต่อเนื่องในปีถัดไป ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565

2.2 มาตรการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินไอพ่น

มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศรวมถึงสนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจสายการบินให้สามารถฟื้นฟูและกลับมาดำเนินธุรกิจได้เป็นปกติให้เร็วที่สุด โดยลดอัตราภาษีตามปริมาณของน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินไอพ่นที่ใช้บินในประเทศเหลือ 0.20 บาทต่อลิตร โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565

2.3 มาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้

มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างต่อเนื่อง โดยขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2563 และเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 ออกไปอีก 5 ปี จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 เป็นสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2569

โดยยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ลูกหนี้และเจ้าหนี้ รวมทั้งผ่อนปรนการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ของเจ้าหนี้ สำหรับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ของสถาบันการเงิน ลูกหนี้ของเจ้าหนี้ที่มิใช่สถาบันการเงิน และลูกหนี้ของเจ้าหนี้อื่นซึ่งได้ดำเนินการเจรจาร่วมกับสถาบันการเงิน ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2569 และลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดินและตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุดเหลืออัตราร้อยละ 0.01 สำหรับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ดังกล่าว ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2569

นอกจากนี้ เพิ่มเติมนิยามเจ้าหนี้อื่นให้รวมถึงบริษัทที่มิใช่สถาบันการเงิน เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มลูกหนี้มากยิ่งขึ้น ดังนี้ (1) บริษัทที่ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อที่เป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของสถาบันการเงิน (2) บริษัทที่ประกอบธุรกิจให้เช่าแบบลีสซิ่งที่เป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของสถาบันการเงิน และ (3) บริษัทที่มิใช่สถาบันการเงินอื่นซึ่งเข้าร่วมและดำเนินการตามโครงการช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2569

3. มาตรการการเงิน ได้แก่ โครงการของขวัญปีใหม่ปี 2565 ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ

โดยสถาบันการเงินเฉพาะกิจภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง ได้จัดทำของขวัญปีใหม่ปี 2565 เพื่อเป็นการเสริมสภาพคล่อง ลดภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยและเสริมสร้างวินัยทางการเงินให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการ เช่น โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การคืนเงินลูกหนี้ธนาคารที่มีประวัติการชำระดี การยกเว้นค่าธรรมเนียมนิติกรรมสัญญาและค่าประเมินหลักประกัน ส่วนลดค่าบริการและค่างวดสำหรับการค้ำประกันสินเชื่อ เป็นต้น

ทั้งนี้ คิดเป็นวงเงินสินเชื่อรวม 25,000 ล้านบาท การคืนเงินและรางวัลพิเศษรวม 1,335 ล้านบาท การลดอัตราดอกเบี้ยรวม 4,700 ล้านบาท ส่วนลดค่าบริการและส่วนลดค่างวดสูงสุด รวม 7.43 ล้านบาท

นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวถึงโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 นี้แล้ว ว่าจะไม่มีการขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการออกไป จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนที่ยังมีสิทธิคงเหลืออยู่เร่งออกมาใช้จ่ายก่อนวันสิ้นสุดโครงการ

ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในประเทศไทยที่มีทิศทางดีขึ้น จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตรายวันมีแนวโน้มลดลง ประกอบกับอัตราการฉีดวัคซีนของประชาชนในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงนโยบายการเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ส่งผลให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้น โดยปัจจัยดังกล่าวล้วนช่วยสนับสนุนให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในแต่ละภูมิภาคยังมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับศักยภาพของภูมิภาคต่างๆ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินมาตรการเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้มีความต่อเนื่อง โดยกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างศึกษาและพัฒนาระบบ รวมทั้งปรับปรุงรูปแบบที่เหมาะสมในการดำเนินโครงการคนละครึ่งในระยะต่อไป ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มโครงการใหม่ได้ในช่วงเดือนมีนาคม 2565

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

มาตรการข้อ 1.1 สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3509 3529 3536 3525

มาตรการข้อ 1.2 สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3513 3548 3521 3508

มาตรการข้อ 2.1 กรมสรรพสามิต โทร. 02 241 5600 ต่อ 521201

มาตรการข้อ 2.2 กรมสรรพสามิต โทร. 02 241 5600 ต่อ 535501

มาตรการข้อ 2.3 สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3509 3513 3548 3529

มาตรการข้อ 3

ธนาคารออมสิน โทร. 02 299 8000 หรือ 1115

ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โทร. 02 555 0555

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โทร. 02 645 9000

ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย โทร. 02 265 3000 หรือ 1357

ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย โทร. 02 271 3700 หรือสายด่วน Hotline 02 037 6099

ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โทร. 02 264 3345 หรือ 1302

บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม โทร. 02 890 9999

กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้จัดทำของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2565 ให้แก่ประชาชน โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. โครงการเที่ยวปีใหม่สุขใจไปกับพิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2565 สำหรับคนไทยทุกคน

กรมธนารักษ์เปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณานุรักษ์ พิพิธบางลำพู พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดเชียงใหม่ พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดสงขลา และพิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จังหวัดขอนแก่น โดยไม่เก็บค่าเข้าชม ระหว่างวันที่ 4 - 15 มกราคม 2565

2. มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้เช่าที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ ปี 2565 สำหรับประชาชน

กรมธนารักษ์ได้กำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้เช่าที่ราชพัสดุ ดังนี้

(1) ยกเว้นการเรียกเก็บค่าเช่าปี พ.ศ. 2565 (ไม่รวมค่าเช่าช่วง) สำหรับผู้เช่าเพื่ออยู่อาศัยและเพื่อประกอบการเกษตร โดยผู้เช่าที่ได้รับสิทธิยกเว้นดังกล่าว จะต้องเป็นผู้เช่าชั้นดี ไม่มีภาระค่าเช่าค้างกับกรมธนารักษ์ ทั้งนี้ หากผู้เช่าได้ชำระค่าเช่าปี พ.ศ. 2565 แล้ว ให้ผลักค่าเช่า ปี พ.ศ. 2565 ไปเป็นค่าเช่า ปี พ.ศ. 2566 แทน สำหรับผู้เช่าที่มีภาระค่าเช่าค้างชำระกับกรมธนารักษ์และมีความประสงค์จะเข้าร่วมมาตรการดังกล่าว ต้องดำเนินการชำระค่าเช่าค้างให้ครบถ้วน ภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 โดยยกเว้นการเรียกเก็บเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของเงินที่ค้างชำระตามสัญญาที่กำหนดไว้

(2) ยกเว้นการเรียกเก็บค่าเช่า 3 เดือน (ไม่รวมค่าเช่าช่วง) ตั้งแต่เดือนมีนาคม - พฤษภาคม 2565 สำหรับผู้เช่าอาคารราชพัสดุและเพื่อประโยชน์อย่างอื่น โดยให้ผู้เช่าที่ประสงค์จะเข้าร่วมมาตรการดังกล่าวยื่นคำร้องต่อกองบริหารที่ราชพัสดุกรุงเทพมหานครและสำนักงานธนารักษ์พื้นที่ 76 พื้นที่ เพื่อพิจารณาอนุมัติสำหรับผู้เช่าที่มีภาระค่าเช่าค้างชำระกับกรมธนารักษ์และมีความประสงค์จะเข้าร่วมมาตรการดังกล่าว ต้องดำเนินการชำระค่าเช่าค้างให้ครบถ้วนภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 โดยยกเว้นการเรียกเก็บเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของเงินที่ค้างชำระตามสัญญาที่กำหนดไว้

(3) สำหรับผู้เช่าประเภทอื่น นอกเหนือจากข้อ (1) และข้อ (2) หากประสงค์จะเข้าร่วมมาตรการขอให้ยื่นหนังสือและชี้แจงเหตุผลความจำเป็น พร้อมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง อาทิ รายละเอียดผลประกอบการย้อนหลัง (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 - พ.ศ. 2564) และอื่น ๆ เพื่อประกอบการพิจารณาของกรมธนารักษ์เป็นรายกรณี
ทั้งนี้ ผู้เช่าต้องแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการดังกล่าว ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2565

3. การจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ รุ่นส่งความสุข วงเงิน 30,000 ล้านบาท

สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะจัดให้มีการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ รุ่นส่งความสุข วงเงิน 30,000 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 17 - 31 มกราคม 2565 เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน ในช่วงต้นปี 2565 โดยจำหน่ายผ่านระบบอินเตอร์เน็ต Mobile Application และเคาน์เตอร์ทุกสาขาของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)

4. โครงการ “คริปโทศาสตร์ รู้ได้ในคลิกเดียว”

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) มีความห่วงใยประชาชนและผู้ลงทุน จึงได้จัดทำศูนย์รวมข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล บนเว็บไซต์ www.smarttoinvest.com โดยเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ลงทุนและประชาชนทั่วไป ทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย

5. โครงการ “การระดมทุนของ SMEs/Startup ผ่อนคลาย ไม่มีค่าธรรมเนียม”

สำนักงาน ก.ล.ต. สนับสนุนการระดมทุนของ SMEs และ Startup โดยไม่ต้องยื่นคำขออนุญาตไม่ต้องมีที่ปรึกษาทางการเงิน รวมทั้งยกเว้นค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง

6. โครงการ “การยกเว้นค่าธรรมเนียมเพื่อส่งเสริมการออกตราสารเพื่อความยั่งยืนในตลาดทุน”

สำนักงาน ก.ล.ต. สนับสนุน sustainable finance แก่ผู้ออกตราสารหนี้ในกลุ่มความยั่งยืนที่มีภาระและต้นทุนมากกว่าการออกตราสารหนี้ทั่วไป โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขออนุญาตและค่าธรรมเนียมในการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลสำหรับการเสนอขายตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) ตราสารหนี้เพื่อพัฒนาสังคม (Social Bond) ตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) และตราสารหนี้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-linked Bond)

7. โครงการ “การสนับสนุนค่าใช้จ่ายการทวนสอบการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์”

สำนักงาน ก.ล.ต. สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการทวนสอบเพื่อสร้างแรงจูงใจและลดภาระให้แก่บริษัทจดทะเบียน และบริษัทที่เสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชน (บริษัท IPO) โดยการลดหย่อนค่าธรรมเนียมสำหรับบริษัทที่เปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีรายชื่อผู้ทวนสอบ/ผู้ให้การรับรองข้อมูลก๊าซเรือนกระจกในแบบ 56-1 One Report และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบ filing) สำหรับค่าทวนสอบตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 50,000 บาท

8. โครงการ “การลดค่าธรรมเนียมคำขอความเห็นชอบเป็นผู้สอบบัญชีในตลาดทุนสำหรับผู้สอบบัญชีรายใหม่ที่สังกัดสำนักงานสอบบัญชีในตลาดทุน”

สำนักงาน ก.ล.ต. ได้จัดทำโครงการดังกล่าว เพื่อปรับลดค่าธรรมเนียมคำขอความเห็นชอบสำหรับผู้สอบบัญชีที่สังกัดสำนักงานสอบบัญชีในตลาดทุน ซึ่งยื่นคำขอความเห็นชอบเป็นครั้งแรก จากเดิมที่
คิดค่าธรรมเนียม 50,000 บาท เหลือ 10,000 บาท เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้สอบบัญชี ทั้งนี้ สำหรับคำขอความเห็นชอบที่ยื่นระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2565 - 30 มิถุนายน 2565

9. กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุปีใหม่อุ่นใจ (ไมโครอินชัวรันส์) สำหรับเทศกาลปีใหม่ 2565

สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้จัดทำกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุปีใหม่อุ่นใจ (ไมโครอินชัวรันส์) สำหรับเทศกาลปีใหม่ 2565 โดยมีเงื่อนไขการทำสัญญาประกันภัย ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2564 – 25 กุมภาพันธ์ 2565 ระยะเวลาคุ้มครอง 30 วัน เบี้ยประกันภัย 10 บาท ซึ่งมีข้อตกลงคุ้มครอง ดังนี้

(1) ผลประโยชน์การเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เนื่องจากอุบัติเหตุ ไม่รวมการถูกฆาตกรรมลอบทำร้ายร่างกายและ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จำนวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท

(2) ผลประโยชน์การเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จากการถูกฆาตกรรมลอบทำร้ายร่างกาย และ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จำนวนเงินเอาประกันภัย 50,000 บาท

(3) ผลประโยชน์การเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เนื่องจากอุบัติเหตุสาธารณะ จำนวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท และ

(4) ผลประโยชน์ค่าชดเชยรายได้ระหว่างการเข้ารักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน กรณีได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ (สูงสุดไม่เกิน 30 วัน) 200 บาทต่อวัน

10. โครงการ “พ.ร.บ. รุกทั่วไทย”

สำนักงาน คปภ. ปรารถนาที่จะส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำนวน 10,000 ฉบับ เป็นของขวัญปีใหม่ แทนความห่วงใย จากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย สำนักงาน คปภ. ให้กับพี่น้องประชาชนผู้เป็นเจ้าของรถ โดยสามารถเข้าไปลงทะเบียนเพื่อรับประกันภัยกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 ตามเงื่อนไขที่กำหนด ที่ www.พรบรุกทั่วไทย.com/

11. มาตรการของขวัญปีใหม่ปี 2565 ให้กับผู้กู้ยืมเงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา

กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้จัดเตรียมมาตรการของขวัญปีใหม่ปี 2565 ให้กับผู้กู้ยืมเงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา โดยจะพิจารณาขยายระยะเวลามาตรการลดหย่อนหนี้ จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 เป็นสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 ดังนี้

(1) ลดเบี้ยปรับ ร้อยละ 100 กรณีผู้กู้ยืมเงินทุกกลุ่มชำระหนี้ปิดบัญชี

(2) ลดเบี้ยปรับ ร้อยละ 80 กรณีผู้กู้ยืมเงินกลุ่มก่อนฟ้องคดีมาชำระหนี้ค้างทั้งหมดให้มีสถานะปกติ (ไม่ค้างชำระ)

(3) ลดอัตราการคิดเบี้ยปรับเหลือร้อยละ 0.5 ต่อปี กรณีผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีและไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด

(4) ลดเงินต้น ร้อยละ 5 กรณีผู้กู้ยืมเงินที่ไม่เคยเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้และปิดบัญชีในคราวเดียว และ

(5) ลดดอกเบี้ย จากเดิมร้อยละ 1 ต่อปี เป็นร้อยละ 0.01 ต่อปี ให้กับผู้กู้ยืมเงินที่อยู่ระหว่างการชำระเงินคืนกองทุนและไม่เคยเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้

12. กรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (กรณีเสียชีวิต) จำนวน 15,000 กรมธรรม์

กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) มอบกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (กรณีเสียชีวิต) ให้แก่สมาชิก กอช. โดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จำนวน 5,000 กรมธรรม์ และบริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) จำนวน 10,000 กรมธรรม์ รวมทั้งสิ้น 15,000 กรมธรรม์

สำหรับความคุ้มครองจากกรมธรรม์ดังกล่าว กอช. จะทำการติดต่อสมาชิกผู้ที่ได้รับของขวัญและจะเริ่มคุ้มครองตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 – มีนาคม 2566 โดยมีเงื่อนไขการมอบกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (กรณีเสียชีวิต) ดังกล่าวให้แก่สมาชิก กอช. ดังนี้ (1) สมัครสมาชิกใหม่ ตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2564 - 31 มกราคม 2565 และ (2) มีการออมเงินขั้นต่ำ 1,200 บาท

ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถสมัครสมาชิกได้ที่หน่วยบริการ กอช. ทุกช่องทาง รวมถึงแอปพลิเคชัน กอช.

13. กระเป๋า shopping bag กอช. พับได้ ไม่จำกัดจำนวน

กอช. มอบกระเป๋า shopping bag กอช. พับได้ให้แก่สมาชิก กอช. โดยมีเงื่อนไข ดังนี้ (1) สมัครสมาชิกใหม่ ตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2564 - 31 มกราคม 2565 และ (2) มีการออมเงินขั้นต่ำ 50 บาท สำหรับสมาชิกที่ได้รับกระเป๋าดังกล่าว กอช. จะทำการจัดส่งให้สมาชิกทางไปรษณีย์ภายในเดือนมีนาคม 2565

ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถสมัครสมาชิกได้ที่หน่วยบริการ กอช. ทุกช่องทาง รวมถึงแอปพลิเคชัน กอช.

14. โครงการ “สลาก 80”

สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่จะดำเนินการขยายจุดจำหน่ายโครงการ “สลาก 80” ในปี 2565 และได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการไว้ 2 ระยะ คือ

ระยะที่ 1 ขยายในเชิงลึก เขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดนนทบุรี เพิ่มเติม จำนวน 34 จุดจำหน่าย (จากบัญชีสำรอง ปี 2564) รวมกับของเดิมเป็น 74 จุดจำหน่าย โดยจะเริ่มจำหน่ายสลากงวดแรกในงวดวันที่ 17 มกราคม 2565 เป็นต้นไป

และระยะที่ 2 ขยายจุดจำหน่ายในเชิงกว้าง โดยเปิดรับสมัครตัวแทนจำหน่ายขยายทั่วประเทศ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จำนวนไม่เกิน 1,000 จุดจำหน่าย สำหรับผู้ที่ผ่านหลักเกณฑ์แต่ไม่ได้รับการคัดเลือกให้กำหนดเป็นผู้ขึ้นบัญชีสำรองตัวแทนจำหน่ายโครงการ “สลาก 80” โดยมีระยะเวลาในการขึ้นบัญชีสำรอง 1 ปี นับตั้งแต่วันที่มีประกาศของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล

ในกรณีที่ตัวแทนจำหน่ายโครงการ “สลาก 80” รายใดสละสิทธิ์ หรือกรณีถูกตรวจพบว่าไม่ปฏิบัติตามสัญญาและเงื่อนไขที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลกำหนด จะเรียกผู้ขึ้นบัญชีสำรองลำดับถัดไปของจังหวัดนั้นทดแทน เพื่อให้จำนวนของจุดจำหน่ายโครงการ “สลาก 80” ยังครบถ้วนตามจำนวนที่กำหนดต่อไป ซึ่งจะเปิดรับสมัครในวันที่ 24 ธันวาคม 2564 – 24 มกราคม 2565

โดยประชาชนจะสามารถหาซื้อสลากได้ในราคา 80 บาทจากจุดจำหน่ายสลาก 80 ได้ทั่วประเทศ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 เป็นต้นไป

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ข้อ 1-2 ติดต่อกรมธนารักษ์ โทร. 02 298 6444
ข้อ 3 ติดต่อสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 02 271 7999 ต่อ 5809
ข้อ 4-8 ติดต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โทร. 02 033 9597
ข้อ 9-10 ติดต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย โทร. 02 515 3999 ต่อ 8319
ข้อ 11 ติดต่อกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา โทร. 02 016 2695
ข้อ 12-13 ติดต่อกองทุนการออมแห่งชาติ โทร. 02 049 9000 ต่อ 601-602 และ 619-620
ข้อ 14 ติดต่อสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล โทร. 02 528 8722

กระทรวงกลาโหม

ดำเนินโครงการ “เติมความสุขให้คนไทย ตามแนวทางชีวิตวิถีใหม่ จากใจทหาร” ดังนี้

1. กิจกรรมที่ดำเนินการในห้วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2565 (วันที่ 29 ธันวาคม 2564 - 4 มกราคม 2565) ได้แก่
     1.1 จัดเตรียมกำลังเตรียมพร้อม เพื่อรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชนในพื้นที่ตามแนวชายแดนและพื้นที่ที่มีความสำคัญด้านความมั่นคงของประเทศ
     1.2 จัดตั้งจุดบริการช่วยเหลือประชาชนและนักท่องเที่ยว ได้แก่ การจัดจุดพักรถเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ จำนวนกว่า 500 จุด ทั่วประเทศ รวมทั้งให้บริการ เช่น ข้อมูลการเดินทาง การบริการสุขาเคลื่อนที่ การบริการทางการแพทย์ และการบริการตรวจสภาพและซ่อมแซมยานพาหนะ
     1.3 จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือประชาชนและนักท่องเที่ยวทางทะเล จำนวน 6 จุด
     1.4 จำหน่ายสินค้าอุปโภคและบริโภคราคาถูก จำนวน 80 แห่ง ภายในพื้นที่ของหน่วยทหารทั่วประเทศ เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย
     1.5 เปิดแหล่งท่องเที่ยวและพิพิธภัณฑ์ในเขตทหารทั่วประเทศ จำนวน 35 แห่ง โดยไม่คิดค่าบริการ
     1.6 ให้บริการศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และโครงการเกษตรผสมผสานตามแนวทางศาสตร์พระราชา จำนวน 30 แห่ง ภายในพื้นที่ของหน่วยทหารทั่วประเทศ

2. กิจกรรมที่ดำเนินการตลอดห้วง พ.ศ. 2565 ได้แก่
     2.1 จัดตั้งจุดบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้กับประชาชน ของสถานพยาบาลในสังกัด กห. หรือพื้นที่ที่เหมาะสม
     2.2 จัดเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือดูแลและฟื้นฟูบ้านเรือนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ รวมถึงการจัดชุดช่างทั่วไปเข้าซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชนที่ประสบภัยพิบัติในพื้นที่ต่าง ๆ
     2.3 เปิดพื้นที่ภายในหน่วยทหารเป็นตลาดนัดสินค้าราคาถูกช่วยเหลือประชาชน และสนับสนุนการจำหน่ายและรับซื้อสินค้าและผลผลิตทางการเกษตร
     2.4 จัดจุดรับเรื่องราวร้องทุกข์เกี่ยวกับผลกระทบจากภัยพิบัติหรือสาธารณภัยรวมทั้งความเดือดร้อนเกี่ยวกับผลผลิตทางการเกษตร
     2.5 เข้มงวดกับมาตรการป้องกันและสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมือง แรงงานต่างด้าว การค้ามนุษย์ ยาเสพติด ผลผลิตทางการเกษตร และสินค้าผิดกฎหมายตามแนวชายแดน รวมทั้งการควบคุม กำกับดูแล กิจการ/กิจกรรมของสถานประกอบการต่างๆ ให้ปฏิบัติตามมาตรการที่ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กำหนด

กระทรวงพลังงาน

1. การลดและตรึงราคาพลังงานเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดค่าใช้จ่าย และลดต้นทุนค่าครองชีพของประชาชน ได้แก่

1.1 ตรึงราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2564 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565
1.2 ตรึงราคาน้ำมันทุกชนิด โดยบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ระหว่างวันที่ 5 ธันวาคม 2564 - 4 มกราคม 2565
1.3 คงราคาขายปลีกก๊าซธรรมชาติ (NGV) ที่ 15.59 บาทต่อกิโลกรัม โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565
1.4 ขยายความช่วยเหลือส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม (LPG) แก่กลุ่มร้านค้าหาบเร่ แผงลอยอาหารที่เป็นผู้ที่มีรายได้น้อยตามบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 100 บาทต่อคนต่อเดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 มกราคม 2565
1.5 ขยายระยะเวลาการคงราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น LPG ซึ่งไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยกำหนดราคาขายปลีกอยู่ที่ 318 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม มีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 31 มกราคม 2565

2. แจกคูปองส่วนลดสำหรับซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์ 5 และสินค้าชุมชน ได้แก่

2.1 แจกคูปองส่วนลดสำหรับซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์ 5 สิทธิละ 500 บาท จำนวน 10,000 สิทธิ
2.2 แจกคูปองส่วนลดร้อยละ 50 สำหรับซื้อสินค้าชุมชน มูลค่าส่วนลดไม่เกิน 300 บาท จำนวน 28,000 สิทธิ

3. แจกคูปองส่วนลดสำหรับที่พักที่เขื่อนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สิทธิละ 2 ห้อง จำนวน 15,000 สิทธิ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook