"เบสท์ ณัฐสิทธิ์" เล่าให้ฟัง ผ่านมาแล้ว ห้วงชีวิตหลงคำชม ลืมตัวตน โชคดีมีคนดึงสติ

"เบสท์ ณัฐสิทธิ์" เล่าให้ฟัง ผ่านมาแล้ว ห้วงชีวิตหลงคำชม ลืมตัวตน โชคดีมีคนดึงสติ

"เบสท์ ณัฐสิทธิ์" เล่าให้ฟัง ผ่านมาแล้ว ห้วงชีวิตหลงคำชม ลืมตัวตน โชคดีมีคนดึงสติ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เป็นนักแสดงหนุ่มที่ทำงานในวงการมาตั้งแต่อายุยังน้อย สำหรับหนุ่มมากความสามารถ เบสท์-ณัฐสิทธิ์ โกฏิมนัสวนิชย์ ที่ทุกคนต้องเคยเห็นหน้าเห็นตาจากหลากหลายบทบาท ผ่านงานมาแล้วทุกรูปแบบ และเคยโด่งดังเป็นพลุแตกในฐานะพระเอกเอ็มวี "อ้าว" ของ อะตอม ชนกันต์ ที่ทำให้เขากลายเป็นหนุ่มฮอต ถูกพูดถึงแทบทุกวัน และตอนนี้เจ้าตัวก็โลดแล่นในวงการบันเทิง งานแน่นเรื่อยมา

า และล่าสุด เบสท์ มากับอีกหนึ่งบทบาทจากซีรีส์ "แอป ป่วน เมือง (DARK APP)" ซีรีส์ดราม่าสุดระทึก พาดำดิ่งสู่ความมืดในโลกเทคโนโลยี ทาง โมโนแมกซ์ (MONOMAX) งานนี้พลาดไม่ได้ sanook.com ขอคว้าตัวหนุ่มคนเก่งมาพูดคุยกันถึงผลงานชิ้นนี้ พร้อมกับพูดคุยเรื่องราวชีวิต ที่ก่อนหน้านี้ได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญจากชื่อเสียง พร้อมความรักอันหวานฉ่ำกับแฟนสาว ที่ขึ้นแท่นคนคลั่งรักว่าเป็นยังไงบ้าง

เรื่อง "ดาร์ก แอป" รับบทเป็นใคร เรื่องราวเป็นยังไงบ้าง?

"ดาร์ก แอป ผมรับบทเป็น แม็กซ์ มีเพื่อชื่อ เกียร์ สองคนนี้เป็นเพื่อนกันและตั้งใจจะทำแอพลิเคชั่นซึ่งแอปนี้จะเป็นแอปดาร์กๆ หน่อยเพื่อหาเงิน เป้าหมายของแอปนี้สร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาสังคมแบบมุมมืดหน่อย ซึ่งทางพระเอกจะรู้จักกับนางเอกที่ทำแอปเหมือนกัน แต่แอปที่นางเอกทำจะมีความขัดกับแอปของพระเอกอยู่ ความสนุกก็เลยจะเกิดขึ้นระหว่างทางที่สองแอปนี้จะต้องต่อสู้กันโดยที่ทั้งคู่ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำครับ"

"ผมว่าทุกวันนี้แอพลิเคชั่นมันก็อยู่ชีวิตของเราแทบทุกคนอยู่แล้ว ทุกวันนี้ถึงไม่ได้เจอหน้ากันก็คุยกันผ่านแอปได้ และผู้คนก็เริ่มเข้าใจเรื่องของสตาร์ทอัพเกี่ยวกับแอพลิเคชั่นกันมากขึ้น ถึงจะไม่เข้าใจก็สามารถชมได้อย่างสนุกเหมือนกันครับ"

คำว่า "ดาร์ก แอป" นี่ดาร์กขนาดไหน?

"แอปของ เกียร์ กับ แม็กซ์ เนี้ย เป็นเหมือนศาลเตี้ย ผมว่าแค่นี้ก็ดาร์กแล้วนะ เราสามารถตัดสินชีวิตคนได้ด้วยแอปนี้ แต่ในความจริงแล้วเราไม่ควรไปตัดสินหรือพิพากษาชีวิตใคร ในความรู้สึกผม ผมว่ามันดาร์กมากเหมือนกันนะ ที่อยู่ๆ โดนศาลเตี้ยที่ไม่มีการพูดคุย เจรจาต่อรองกันเลย ไม่มีการถกเถียงกันเลย แต่โดนจัดการเลย อันนี้น่ากลัวครับ ในแอปนี่มีแบบจ้างไปกระทืบอะไรแบบนี้เลยนะ คอนเซ็ปต์ของแอปจะเป็นประมาณนี้ สมมติว่ามีคนคนนึงที่ผมไม่ชอบ เขามาแย่งแฟนผม ผมก็แค่โพสต์ลงในแอปนี้แล้วจะมีคนคอยรับงานไปกระทืบคนนั้น อะไรประมาณนี้ น่ากลัวนะ มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเลย"

เรื่องนี้น่าสนใจตรงไหนบ้าง?

"เท่าที่ผมอ่านบท ความน่าสนใจมันคือการทิ้งคำถามไว้ให้เราได้สงสัยกันว่าเขาจะคลายปมที่เกิดขึ้นในแต่ละปมยังไง ในแต่ละตอนจะทิ้งปมเอาไว้อย่างน่าสนใจ ผมเองรู้สึกได้บทมาก็อ่านเพลิน อ่านจบหนึ่งอีพีก็อยากรู้ต่อว่าต่อไปจะเป็นยังไงครับ"

"การทำงานตัวผมเองก็ต้องไปทำความเข้าใจเรื่องของแอพลิเคชั่นนี่แหละครับ ระบบ ขั้นตอนกระบวนการว่า แอปหนึ่งแอปเนี้ยมีการสร้างยังไง กว่าจะทำได้ กว่าจะได้เงินมา ซึ่งเวลาอยู่ในเรื่องจะมีศัพท์เทคนิคต่างๆ ที่ถ้าเราไม่เข้าใจก็จะเล่นยาก เพราะฉะนั้นเลยต้องทำการบ้านเรื่องนี้ เป็นการเพิ่มความเข้าใจให้เราด้วยเพราะก่อนหน้านี้เราก็ยังไม่เข้าใจขนาดนี้ครับ"

เบสท์ ณัฐสิทธิ์

คาดหวังกับงานชิ้นนี้ไว้แบบไหน?

"ผมไม่คาดหวังเลย เพราะตอนเราทำงานเรื่องนี้เราก็ทำงานทำหน้าที่ทำในสิ่งที่เรารู้สึกว่าเต็มที่ในวันนั้นแล้ว หลังจากนี้ไม่รู้จะคาดหวังอะไรเพราะเป็นเรื่องของคนดูแล้วว่าเขาจะยังไง ถ้าจะหาความคาดหวังจริงๆ ก็คงคาดหวังให้เกิดการถกเถียงกันเกิดขึ้นในเนื้อเรื่องครับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเนี้ยมันสมควรหรือเปล่า อยากรู้ว่าผู้ชมชมแล้วรู้สึกยังไง"

ทำงานมาหลากหลายมีอะไรที่ท้าทาย อยากทำอีกไหม?

"เอาเข้าจริงผมก็คุยกับแฟน กับเพื่อนว่าจริงๆ ก็ทำงานในวงการบันเทิงมาหลายตำแหน่งแล้วเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการแสดง ผู้ช่วยผู้กำกับ ไปเป็นตากล้องตอนเรียนมหาวิทยาลัย ช่วงนี้ก็กำกับโฆษณาอยู่ ผมก็รู้สึกเหมือนกันว่าทำไมเราทำเยอะจังวะ (หัวเราะ) ก็ไม่รู้ว่าอันไหนคือสิ่งที่ท้าทายที่สุด แต่ผมว่า ในทุกตำแหน่งมันก็มีควมท้าทายในบทบาท ณ เวลานั้นของมันอยู่แล้ว เช่น เป็นนักแสดงเรารับเรื่องใหม่ บทใหม่มาก็เป็นความท้าทายใหม่ ต่อให้เป็นบทที่ใกล้บทเดิม ความท้าทายก็คือเล่นยังไงให้มีความแตกต่างเพราะตัวละครมันคนละตัวกัน 

งานผู้กำกับก็มีสิ่งท้าทายเราเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการคุยกับลูกค้า การได้เจอลูกค้าใหม่ๆ การเริ่มทำชิ้นงานใหม่ๆ มันก็คือความท้าทายอีกแบบนึงทุกอย่างมีความท้าทายหมดเลยครับ แต่ตอนนี้ที่ทำชัดๆ เลยก็เป็นงานด้านกำกับแต่ยังไม่กล้าเปิดตัวขนาดนั้น แต่ผมโชคดีมากๆ ครับที่ได้โอกาสที่ดี เพราะผมก็ยังอยากฝึกไปก่อน"

 เดินสายนี้เต็มตัวมาก ชอบมาตั้งแต่เด็กเลยหรือเปล่า?

"ผมเริ่มทำงานในวงการตั้งแต่ ม.5 ตอนนั้นเริ่มจากการเล่นเอ็มวี เท่าที่จำได้ความคิดตอนนั้นคือ ไม่อยากทำงานออฟฟิศเลย เห็นพี่ๆ ในวงการเขาทำงาน เขาได้เจอกันคงไม่น่าเบื่อเนาะ เขาน่าจะได้เจอคนที่หลากหลายไม่ต้องนั่งแต่ในที่ทำงานอย่างเดียว เรายังไม่เข้าใจวงการนี้ดีพอ มันเป็นความรู้สึกในตอนนั้น เลยตั้งเป้าที่จะเรียนคณะอะไรประมาณนี้แหละ แล้วก็เริ่มทำมาเรื่อยๆ จนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว จนรู้สึกว่าเราไม่น่าจะทำอาชีพอื่นได้แล้ว (หัวเราะ)"

จากมุมมองเด็ก ม.5 วันนั้น กับวงการที่เข้ามาสัมผัสจริงๆ แล้วต่างกันมากไหม?

"ต่างครับ เอาเรื่องที่ต่างมากๆ เลยคือ อย่างช่วงนั้นผมถ่ายเอ็มวี เริ่มหกโมงเช้า จบหกโมงเย็น แต่ทุกวันนี้กลายเป็น เริ่ม หกโมงเช้า เลิกสี่ทุ่มได้ยังไงก็ไม่รู้ นี่คือความต่าง ซึ่งต่างไปในทางลบด้วยซ้ำ อย่างเพื่อนๆ คนรอบตัวผมเขาทำงานในวงการ งานเบื้องหลังเยอะมาก เราก็จะได้เห็นว่าจริงๆ เขาไม่ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีเลย เรียกว่าเป็นการทำงานแบบไร้บาลานซ์ ไม่มีเวลานอนก็ว่าหนักแล้ว ไม่มีเวลาเจอครอบครัว ไม่มีเวลาใช้ชีวิตส่วนตัว ไม่มีเวลาเอาตัวเองไปอยู่กับสิ่งที่ชอบ นี่คือสิ่งที่ผมได้เห็นเมื่อผมโตขึ้นจากวันนั้น รู้สึกว่าทำไมเขาต้องมาทำแบบนี้กันด้วย

เบสท์ ณัฐสิทธิ์

ผมว่าคนกองถ่ายควรจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่านี้ สมมติว่าในฐานะคนดูเขาบอกว่าหนังไม่ดี อย่างงั้นอย่างงี้ แต่เขาไม่รู้หรอกว่าที่มาเกิดจากอะไร เพราะต้องยอมรับว่าระบบกองถ่ายบ้านเรามีปัญหาจริงๆ ทำงานกันแบบไม่ได้พักได้ผ่อน ทุกวันนี้ผมเห็นข่าวคนคนกองเสียชีวิตเยอะมาก คำถามคือ มันจะหยุดเมื่อไหร่กับการที่เราต้องมาเห็นคนกองถ่ายเสียชีวิตเพราะหัวใจวาย ไม่ได้นอน ขับรถกลับบ้านแล้วรถชนอะไรแบบนี้ มันจะหาตรงกลางได้ไหมว่าได้ชิ้นงานและได้สุขภาพที่ดีด้วย"

เราเคยไปแตะจุดไร้บาลานซ์บ้างหรือยัง?

"ก็มีครับ ช่วงที่ทำงานทุกวัน ช่วงก่อนโควิดผมถ่ายทุกวัน ซึ่งเป็นทุกวันแบบโหดร้าย ถ่ายเจ็ดวัน หกโมง ถึง สี่ทุ่ม แล้ววันต่อไปนัดอีกเรื่องนึงหกโมงเช้า อะไรแบบนี้ อย่างต่างประเทศเขาก็จะรับเรื่องเดียวแล้วเต็มที่กับเรื่องนั้นไปเลยเพราะค่าตอบแทนเขาสมเหตุสมผลกัน จริงๆ เราก็ไม่ได้อยากรับงานดะหรอก แต่ถ้าเราไม่รับเราก็จะไม่มีกิน อันนี้ผมพูดในมุมผมนะครับ ผมรู้จักกับนักแสดงที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักเท่าไหร่ เงินเขาก็ได้น้อยกว่า มันสมควรหรือเปล่าในเรื่องของการโดนกดค่าตัวของแต่ละคน สงสารเหมือนกัน"

มีช่วงที่เราพีคมาก ชื่อถูกพูดถึงทุกวัน ตอนนั้นชีวิตเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน?

"ตอนนั้นผมว่าผมลืมตัวเองไปมากเหมือนกัน ผมไม่ได้คุยกับตัวเองเลยเพราะผมได้รับแต่คำเยินยอเกินไป จนบางทีเราไม่เห็นด้านที่ไม่ดีของตัวเอง แล้วก็ลืมตัวหน่อยๆ มั้ง ซึ่งตอนนี้ก็ไม่ได้บอกว่าตัวเองดีขึ้นนะครับ (หัวเราะ) แต่ตอนนี้เราพอเข้าใจมากขึ้น ลืมตัวไม่ได้หมายถึงลืมตัวว่าฉันดัง แล้วหยิ่งนะ แต่เป็นการลืมตัวตนของตัวเอง เราสับสน ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตตอนนั้น งงว่าจริงๆ แล้วตัวเราเองเป็นอะไร เกิดจากการที่เราไม่คุยกับตัวเองและอ่านคอมเมนต์มากเกินไป เราคิดว่าเราสมบูรณ์แล้ว ทั้งที่ที่จริงแล้วเราไม่ได้สมบูรณ์อย่างที่คนอื่นคิดหรอก

ในความรู้สึกผมทุกคนไม่มีคำว่าสมบูรณ์ แต่ตอนนั้นผมโดนคำชมมากเกินไป คนใกล้ตัวก็อาจจะลืมพูดกับเรา หรือว่าอาจจะไม่กล้าพูดกับเรา แต่หลังจากนั้นมันค่อยๆ เรียนรู้ จากประสบการณ์ การใช้ชีวิต จริงๆ ก็ได้แฟนที่เขาคอยพูดกับเรา พูดแล้วเหมือนคลั่งรักเนาะ (หัวเราะ) เขาจะเป็นคนที่กล้าพูดกับเรามากกว่าคนอื่นครับ เขาเป็นคนคอยดึงสติเรานั่นแหละ"

"จริงๆ คนที่เขามาชมเรา เขาไม่ได้ผิดนะ แต่เราเองต่างหากที่ไปใส่ใจคำชื่นชมนั้นมากเกินไป เห็นแต่สิ่งดีๆ เห็นแต่คำชมก็ลืมตัวนิดหน่อย"

 จุดไหนที่เรารู้สึกว่าไม่โอเคกับการกระทำของตัวเอง?

"หลายจุดมากเลยครับ มีช่วงที่ผมแคร์ตัวเองมากเกินไป โดยที่ผมลืมคนข้างๆ หรืออะไรก็ตามเพราะเราแคร์แต่ตัวเองหรือว่าเราเป็นคนคิดลบมากเกินไป เรื่องนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบมากที่สุด รวมทั้งการพูดของเราที่อาจจะทำร้ายจิตใจคนอื่นโดยที่เราไม่รู้ตัว นี่ก็เป็นสิ่งที่รู้สึกผิด สิ่งที่ผมใช้เตือนตัวเองเสมอคือ วันไหนที่ผมระลึกได้ว่าผมทำสิ่งนี้ผมจะจดลงไปในมือถือของผมว่าเราเคยทำสิ่งนี้ จำไว้ว่ามันไม่เวิร์ค ผมก็ไม่รู้ว่าคนที่ผมเคยทำพฤติกรรมไม่ดีด้วยเขารู้สึกอะไรหรือเปล่า บางทีผมยังอยากทักไปขอโทษเขาเลย มีบางคนที่ผมได้ทักไปขอโทษแล้วด้วยครับ"

เบสท์ ณัฐสิทธิ์

โชคดีที่มีคนคอยดึงสติ?

"โชคดีครับ แฟนผมเขาไม่ได้ให้ผมเปลี่ยนอะไรเลยนะ ไม่ได้แบบว่า เธอต้องเป็นคนที่ดีขึ้น มันไม่ใช่ แต่เขาทำให้ผมเป็นผมนี่แหละ แต่ในแบบที่ควรเป็น เหมือนเขาโยนโค้ดใส่เราทุกวันประมาณนั้นมั้ง ทำให้เราได้เห็นมุมมองอื่นๆ มากขึ้น คือแฟนผมเขาเป็นคนมองบวก ก็ดีนะ บวกกับลบมาอยู่ด้วยกันก็ดีขึ้น (หัวเราะ)"

คบกับแฟนมานานแค่ไหนแล้ว?

"2-3 ปีมั้งครับ ผมไม่ได้นับปีเลย ไม่มีวันคบกันเลย คบกันตอนไหนก็ไม่รู้ (หัวเราะ) สำหรับผมก็โอเคนะในช่วงเวลานี้ โอเคมากๆ ถามว่าทำไมถึงชอบเขา คือ จะพูดยังไงดี เหมือนเราชอบดูหนังแอคชั่น เขาก็ชอบดูหนังแอคชั่น แต่เราดูคนละเรื่อง เราชอบทางเดียวกันแต่มันมีจุดที่ต่างกันอยู่ แล้วพอมันมารวมกันกลายเป็นภาพก้อนเดียวกันได้ นึกออกไหมครับ เราคุยแล้วคลิกด้วยอะไรก็ไม่รู้ มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้เหมือนกันครับ"

รู้สึกไหมว่าเป็นคนคลั่งรัก?

"ยอมรับครับ มีความรักที่ดีก็อยากจะอวด (หัวเราะ) จริงๆ แล้วผมเป็นคนงุ๊งงิ๊งอยู่แล้วตั้งแต่ไหนแต่ไรครับ"

เริ่มวางแผนอนาคตด้วยกันหรือยัง?

"ก็คุยนะ เราคบมาในวันที่อายุประมาณนี้แล้ว ผมว่าทุกคนเวลาคบกับใครก็อยากแต่งงานกันนะ ใครจะไปรู้อนาคต แต่มันก็ต้องวางแผนก่อน คบกันแล้วไม่มีเป้าหมายก็ไม่รู้จะคบทำไม เราก็ต้องมีการคุยกันเรื่องอนาคตของเราบ้าง ผมก็ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นไหม แต่ผมเป็น สำหรับผมกับแฟนหลักๆ ก็สร้างบ้าน แล้วก็แต่งงานเหมือนทั่วๆ ไป เราก็เริ่มจากทำบ้านนี่แหละครับ ตอนนี้ผมทำบ้านเสร็จแล้ว แต่ถ้าถามว่าเป็นเรือนหอหรือเปล่าไม่ใช่นะครับ (หัวเราะ) แต่มันก็คือบ้าน บ้านของเรา เรียกว่าเรือนหออาจจะเวอร์ไปครับ"

เบสท์และหวานใจ

สุดท้ายอยากฝากอะไรถึงแฟนๆ บ้าง?

"ฝากดาร์กแอป ด้วยครับ ด้วยตัวเนื้อเรื่องผมชอบมากๆ โดยส่วนตัวผมว่ามันสนุกมาก อยากรู้ว่าทุกคนดูแล้วเป็นยังไงกันบ้าง ไม่ชอบตรงไหนบอกกันได้ เพราะคำวิจารณ์เชิงข้อมูล การพูดคุยกันสำคัญกับการพัฒนางานมากๆ ครับ ส่วนงานอื่นๆ ยังไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่เพราะผมยังคงฝึกเรื่องงานเยื้องหลังอยู่ ในอนาคตน่าจะได้เห็นกันครับ"

เรียกว่าค่อยๆ เติบโตและเรียนรู้จริงๆ สำหรับหนุ่ม เบสท์ ที่นำเรื่องราวและมุมมองของตัวเองมาแชร์ในวันนี้ แฟนๆ อย่าลืมติดตามชมผลงานชิ้นล่าสุดอย่าง ดาร์กแอป ที่ชมกันได้แล้ววันนี้ และในอนาคตเราอาจจะได้เห็นฝีมือการกำกับแบบเต็มตัวของเบสท์ รอชมกันได้เลย

อัลบั้มภาพ 25 ภาพ

อัลบั้มภาพ 25 ภาพ ของ "เบสท์ ณัฐสิทธิ์" เล่าให้ฟัง ผ่านมาแล้ว ห้วงชีวิตหลงคำชม ลืมตัวตน โชคดีมีคนดึงสติ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook