สธ.เผยไทยพบโอมิครอนสะสม 934 ราย เมื่อวานเพิ่ม 194 ราย แนะเข้มมาตรการ
กรมวิทย์ฯ เผย ไทยพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนสะสมแล้ว 934 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 577 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 357 ราย
วันนี้ (30 ธ.ค.) นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยข้อมูลความคืบหน้าการติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนในประเทศไทย ว่า ข้อมูลการตรวจหาสายพันธุ์โควิด-19 โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตั้งแต่เปิดประเทศวันที่ 1 พ.ย.-29 ธ.ค. 64 พบการติดเชื้อโอมิครอน สะสม 934 ราย แบ่งเป็นพบในผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 577 ราย และติดเชื้อในประเทศ 357 ราย
เฉพาะวานนี้ (29 ธ.ค.) เพิ่มขึ้น 194 ราย แบ่งเป็นมาจากต่างประเทศ 88 ราย ติดเชื้อในประเทศ 106 ราย ทั้งนี้ พบการติดเชื้อโอมิครอนแล้วในทุกเขตสุขภาพ โดยแนวโน้มพบการติดเชื้อในประเทศเพิ่มมากขึ้นกว่าผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ เนื่องจากการเดินทางเข้าประเทศเริ่มชะลอตัวลง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนออกมาให้ข้อมูลว่าสำหรับผู้ที่รับวัคซีนโควิดครบ 2 เข็ม แต่มีการติดเชื้อโอมิครอน พบว่ามีความรุนแรงลดลงกว่าเดลตา เป็นเหมือนโอมิครอนไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกาย ซึ่ง นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า นั่นเป็นข้อเท็จจริงอยู่แล้ว เนื่องจากเราทราบดีว่าการสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสเกิดขึ้นจาก 2 ทางคือ 1. การฉีดวัคซีน และ 2. ภูมิคุ้มกันที่เกิดหลังจากติดเชื้อ นั่นหมายความว่า หากคนที่รับวัคซีนครบ 2 เข็มเป็นไพรมารีวัคซีน (primary vaccine) แล้วเกิดการติดเชื้ออาการก็จะไม่รุนแรง แล้วเมื่อหายก็จะเกิดภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติขึ้น ซึ่งก็จะเหมือนกับการกระตุ้นภูมิในร่างกาย
นอกจากนี้ เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงว่า ขณะนี้ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนทั้งหมด 934 ราย ขณะที่สถานการณ์ผู้ติดเชื้อโอมิครอนในประเทศแอฟริกาใต้ยังคงมีอัตราการติดเชื้อที่สูงจากการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ดี ยังมีอัตราการเสียชีวิตที่ต่ำกว่าสายพันธุ์เดลตา เช่นเดียวกับสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา ที่มีสถานการณ์ใกล้เคียงกัน
สำหรับความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนในเด็กอายุ 5-11 ปี ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้อนุมัติการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็กแล้ว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการนำเข้าวัคซีน อย่างไรก็ดี หากเด็กๆ ยังสามารถปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน ก็จะมีความปลอดภัยจากการติดเชื้อทุกสายพันธุ์ได้
ด้าน นพ.ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า มาตรการการฉีดวัคซีนไม่ว่าเข็ม 1, 2 หรือ 3 มีความสำคัญมากในการป้องกันโควิดทุกสายพันธุ์ โดยเฉพาะสายพันธุ์ใหม่โอมิครอน ซึ่งสอดคล้องกับข้อปฏิบัติของมาตรการ VUCA คือ
VACCINE วัคซีน ฉีดให้ครบ ลดป่วยหนัก
UNIVERSAL PREVENTION ป้องกันตลอดเวลา เว้นระยะห่าง ล้างมือ ใส่หน้ากากให้ถูกต้อง
COVID-SAFE LIVING ดำเนินชีวิตที่ปลอดภัย หลีกเลี่ยงสถานที่หนาแน่น ปิดอับ อยู่ใกล้ชิด ใช้เวลานาน และ
ANTIGEN TEST KIT ตรวจการติดเชื้อเมื่อสงสัย หรือมีอาการ และก่อน-หลังการร่วมกิจกรรมที่มีโอกาสเสี่ยง
“ทุกคนสามารถเฉลิมฉลองปีใหม่ เดินทางกลับบ้าน และใช้ชีวิตตามปกติได้ แต่ต้องใช้ชีวิตตามมาตรการ VUCA เพื่อความปลอดภัยจากการติดเชื้อโควิด-19 ทุกสายพันธุ์ และเพื่อไม่ให้สถานการณ์การติดเชื้อในบ้านเราเพิ่มสูงขึ้นหลังช่วงปีใหม่” นพ.ทวีทรัพย์ กล่าว