จับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชาตั้งฐานหลอกคนไทย ส่งผู้ต้องหา 21 ราย มาดำเนินคดี
ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชาตั้งฐานหลอกคนไทย ส่งตัวผู้ต้องหา 21 ราย กลับมาดำเนินคดี
วันนี้ (12 ก.พ.65) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร ) หรือ PCT เปิดเผยว่า คณะเจ้าหน้าที่ตำรวจ PCT และ DES ได้เดินทางกลับจากกัมพูชาแล้ววานนี้ พร้อมนำผู้ต้องหา 21 ราย กลับมาดำเนินคดีได้สำเร็จ
ภายหลังทางการได้ประสานความร่วมมือปฏิบัติการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ฝังตัวอยู่ในกัมพูชา และเดินทางไปยังประเทศกัมพูชา เพื่อพบกับ พล.อ.เซา ซกคา รอง ผบ.สส. และ ผบ.สห. (Gendarmerrie) ผู้แทนฝ่ายรัฐบาลกัมพูชา ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยกับเจ้าหน้าที่กัมพูชา ได้เปิดปฏิบัติการเข้าตรวจค้นเป้าหมายจำนวน 3 จุดพร้อมกัน คือ
จุดที่ 1 อาคาร Y.N Hotel กรุงพนมเปญ ชั้น 4-8 ใช้เป็นสถานที่พักอาศัยของผู้ต้องหา โดยใช้ชั้น 9 เป็นสถานที่ในการชักชวนผู้เสียหายหลอกลงทุน มีคนจีนเป็นหัวหน้าและผู้ควบคุมการทํางาน ลักษณะการเป็นการหลอกลวงให้ลงทุนในการซื้อขายเหรียญสกุลดิจิทัล ผ่านเว็บไซต์ Digital Alliance มีผู้เสียหายเป็นคนไทยจํานวนมาก มูลค่าความเสียหายกว่า 200 ล้านบาท จับกุมผู้ต้องหา 2 ราย
จุดที่ 2 อาคารตรงข้าม Sokha Vegas Caniso ในเมืองพระสีหนุ เป็นอาคาร 4 ชั้น ชั้นบนสุดใช้เป็นสถานที่พักอาศัย และทํางานในการโทรมาหลอกลวงผู้เสียหายที่ประเทศไทย โดยแอบอ้างเป็น เจ้าหน้าที่ตํารวจ และ DSI มีคนจีนเป็นหัวหน้าคอยควบคุมดูแลสั่งการ และบังคับไม่ให้ออกไปด้านนอก ผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อถูกหลอกลวงเพราะความกลัว มูลค่าความเสียหายไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาท จับกุมผู้ต้องหาได้ 6 ราย
จุดที่ 3 อาคาร Chinatown GM Office ในเมืองพระสีหนุ ซึ่งเป็นที่พักและ ที่ทํางานในการชักชวนผู้เสียหายหลอกลงทุน โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม มีกลุ่มคนจีนควบคุมแต่ละกลุ่ม ลักษณะการหลอกลวงให้เล่นเกมส์แบบพิชิตเป็นภารกิจโดยส่งลิ้งค์ผ่านเว็บไซต์ 888168hs.com เพจ ct make money โดยอ้างตัวเป็นเครือของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และ ปตท. หรือ กลุ่ม PTTEP มีผู้เสียหายเป็นคนไทยจํานวนมาก มูลค่าความเสียหายไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท จับกุมผู้ต้องหาได้อีก 13 ราย
รวมทั้ง 3 จุด สามารถจับตัวผู้ต้องหาได้ทั้งสิ้น 21 ราย โดยเจ้าหน้าที่กัมพูชาจะนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งให้เจ้าหน้าที่ ตม.จว.สระแก้ว เพื่อกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย ในข้อหา เป็นอั้งยี่ซ่องโจร มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ สำหรับผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี เจ้าหน้าที่กัมพูชาจะเร่งรัดดำเนินการติดตามตัวเพื่อส่งตัวให้กลับประเทศไทยโดยเร็ว
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ฯ กล่าวต่อว่า ในระหว่างปฏิบัติการ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้ติดตามสอบถามเป็นระยะ เนื่องจากเป็นคดีที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เพราะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนคนไทยอย่างมาก ครั้งนี้เราได้หารือเป็นทางการกับตัวแทนฝ่ายรัฐบาลกัมพูชา และได้นำหมายจับมอบให้กับกัมพูชาถึง 71 หมาย ซึ่งถือว่ามากที่สุดที่เคยมีมา และสามารถจับได้ถึง 21 ราย นอกจากนี้ได้ร้องขอว่าหากพบมีคนไทยถูกหลอก ถึงแม้จะไม่มีหมายจับก็ขอให้ส่งตัวให้กับประเทศไทยเพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป
ข้อมูลจากกระทรวงดิจิทัลฯ พบว่ามีประชาชนร้องเรียนกรณีถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงเป็นจำนวนมาก และมีต้นตออยู่ที่ประเทศกัมพูชา ภายหลังจึงมีการทำ MOU ประสานงานเพื่อปราบปรามผู้กระทำผิด และเจ้าหน้าที่ไทยจะได้เข้ามาทำงานได้ง่ายยิ่งขึ้น
รอง ผบ.ตร. ฝากเตือนประชาชนว่า ขณะนี้กลุ่มที่เป็นลักษณะของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีการโทรศัพท์ไป ข่มขู่ อ้างเป็นเจ้าหน้าที่หลอกให้โอนเงิน หรือปลอมโปรไฟล์คนหน้าตาดี หลอกให้หลงรัก หรือหลอกให้ลงทุน พบว่ายังมีอยู่มาก เตือนว่าอย่าไปหลงเชื่อ อย่าโอนเงินให้กับคนที่ยังไม่เคยรู้จัก และขอประชาสัมพันธ์ไปยังคนไทยที่ไปทำงานในประเทศกัมพูชา โดยหวังว่ารายได้ดี เมื่อท่านเข้าร่วมในกระบวนการนี้แล้ว ท่านจะมีความผิดและต้องถูกดำเนินคดี ในข้อหาฉ้อโกงประชาชนด้วย หากจะไปทำงานจริงควรติดต่อผ่านหน่วยงานของรัฐ เช่นกระทรวงแรงงาน ทั้งนี้หากพบเบาะแส สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ ศูนย์ PCT 081-8663000 เวลาราชการ หรือ สายด่วน บช.สอท.1441 ตลอด 24 ชม. หรือ www.pct.police.go.th