"อี๊ฟ พุทธิดา" สุดกลั้นน้ำตา เล่านาทีบอกลาคุณพ่อ "ต้อย เศรษฐา" ท่านจากไปอย่างสงบ

"อี๊ฟ พุทธิดา" สุดกลั้นน้ำตา เล่านาทีบอกลาคุณพ่อ "ต้อย เศรษฐา" ท่านจากไปอย่างสงบ

"อี๊ฟ พุทธิดา" สุดกลั้นน้ำตา เล่านาทีบอกลาคุณพ่อ "ต้อย เศรษฐา" ท่านจากไปอย่างสงบ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความเศร้าโศก ณ บริเวณ ศาลา 1 วัดเทพศิรินทราวาส แขวงวัดเทพศิรินทร์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ต้อย-เศรษฐา ศิระฉายา หรือ อาต้อย ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทยสากล-ขับร้อง) ประจำปี 2554 ในวัย 77 ปี ที่ได้จากไปอย่างสงบด้วยโรคมะเร็งปอด โดยมีญาติสนิทและเพื่อนพ้องเดินทางมาร่วมแสดงความอาลัย

ซึ่งก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงพิธีสวดพระอภิธรรมในคืนแรก (21 ก.พ. 65) อี๊ฟ พุทธิดา ผู้ซึ่งเป็นลูกสาว ก็ได้ออกมาเปิดใจถึงเรื่องราวความทรงจำเกี่ยวกับคุณพ่อให้เราฟังว่า "มันมีช่วงเวลาหลายช่วงเวลาที่เราก็รู้แหละว่าสักวันหนึ่ง คือทุกคนมันจะมีแบบจุดที่เราจะต้องลากัน ถึงเราจะคิดว่าเราทำดีที่สุดแล้ว เราทำทุกอย่างแล้ว เราพร้อมแล้ว มันก็คงไม่พอ"

ช่วงที่ผ่านมาคุณพ่อทานได้น้อย ?
“หลายเดือนแล้วค่ะ คุณพ่อทานได้น้อยมาหลายเดือนแล้ว จริงๆ ก็คือตั้งแต่ช่วงสิ้นปีที่แล้ว ตั้งแต่ก่อนปีใหม่อีก แต่เขาก็จะดีขึ้นเป็นพักๆ คือบางช่วงพอเริ่มสดชื่นขึ้นท่านก็ทานได้มากขึ้นหน่อย และก็จะเริ่มทานไม่ได้อีก ก็จะสลับๆ กันไป แต่ว่าช่วงล่าสุดที่ไม่ได้ทาน อันนี้คือไม่นานเลยนะคะ แต่ด้วยความที่ร่างกายของคุณพ่อทดถอยเนื่องจากคำว่าทานได้ มันคือทานได้แค่สักประมาณ 8-9 ช้อน แค่นั้นเอง แต่ทานไม่ได้ก็คือไม่ทานเลย หรือทานแค่ 1-2 ช้อน และเป็นช้อนเล็กๆ แค่นั้น”

“อีกอย่างคือคุณพ่อท่านไม่อยากใส่สายในการให้อาหารด้วย เพราะว่าท่านไม่ชอบ และครอบครัวเราก็ไม่อยากบังคับ เนื่องจากเราอยากให้คุณพ่อมีความสุขที่สุด และบางทีการบังคับจิตใจคนไข้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีที่สุดที่ควรทำ คือสุดท้ายแล้ว เราก็คิดว่าเรายังโชคดีที่เราได้พยายามทำให้พ่อมีความสุข เราไม่ได้ฝืนใจท่านเยอะมาก แต่อย่างน้อยวันนี้เราก็ถือว่าเราไม่ต้องมานั่งเสียใจ”

อาการของคุณพ่อที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง ?
“คือมันก็ขึ้นๆ ลงๆ เพราะบางทีคุณพ่อก็เหนื่อยมากจริงๆ และบางคนก็อาจจะเข้าใจว่าคุณพ่อเพิ่งป่วยไม่นาน แต่ว่าจริงๆ คุณพ่อเป็นมา 3 ปีกว่าแล้วนะคะ และทุกช่วงเวลาตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว มันก็มีหนักบ้างเบาบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาตลอด และอาจจะเป็นช่วงหลังนี้แหละที่ท่านต้องทำการรักษาเพิ่มเติม เลยทำให้มีเรื่องของผลข้างเคียง”

ครั้งล่าสุดที่ไปโรงพยาบาล อาการของคุณพ่อเป็นอย่างไร ?
“จริงๆ ก็ไม่ได้มีอาการอะไรเพิ่มเติมค่ะ คือวันที่ไปโรงพยาบาลมันคือวันที่ตรงกับคุณหมอนัด และเราก็ตั้งใจว่าอยากให้คุณพ่อไปแค่ 1-2 วัน เนื่องจากที่ผ่านมาท่านผอมลงมากและทานไม่ค่อยได้ อย่างน้อยถ้าไปโรงพยาบาล คุณหมอก็อาจจะให้น้ำเกลือหรือให้สารอาหาร ทำให้ท่านสดชื่นขึ้นและก็ค่อยกลับบ้าน นี่คือแผนที่เราวางไว้”

“แต่ปรากฎว่าพอไปโรงบาลจริงๆ เขาก็มีเรื่องของเสมหะที่เหนียวข้นมากและก็ทำให้คุณพ่อหายใจไม่ออก บวกกับคุณพ่อค่อนข้างที่จะนอนราบแล้วไม่สบายตัว สุดท้ายก็เลยตัดสินใจทำการดูดเสมหะออก แต่ทีนี้การดูดมันก็คงทำให้คุณพ่อเจ็บและทำให้ท่านเหนื่อย ความดันก็ตก ซึ่งคุณหมอก็พยายามใช้ยาช่วยกระตุ้น ก็…มันก็ไม่น่าจะตกขนาดที่เขาจะไป แต่ก็คิดว่าคงเป็นเพราะความบอบบางของเขาในภาวะที่เป็นอยู่มันมีมาก เอ่อ…เราอาจจะคิดว่าไม่น่า ไม่น่า แต่เราไม่รู้หรอกว่าข้างในเขามันคงจะเหนื่อยมากแล้ว ก็เลยกลายเป็นว่าความดันตกและยาก็กระตุ้นไม่ขึ้นค่ะ”

ไม่ได้อยู่กับคุณพ่อในวินาที่สุดท้าย ?
“ไม่ได้อยู่ค่ะ คือช่วงที่ผ่านมามันเป็นช่วงที่ยากลำบากพอสมควร เพราะนอกจากคุณพ่อแล้ว คุณแม่ก็ค่อนข้างที่จะเหนื่อยเหมือนกัน คือถ้าคุณพ่อไม่กิน คุณแม่ก็ไม่อยากกินด้วย เขาสองคนอยู่ด้วยกันมานาน ดูแลกันมานาน ซึ่งในวันที่เรารู้ว่าคุณพ่อมีคิวนัดกับคุณหมอ เราก็เลยคุยกันว่าถ้าหากคุณพ่อไปแค่ 1-2 วัน บวกกับมันเป็นช่วงที่อี๊ฟต้องเดินทางไปเสม็ดพอดี เราก็เลยคิดว่าพาคุณแม่ไปด้วยกันดีกว่าเพราะไม่มีใครอยู่บ้าน คือคุณพ่อไปนอนโรงพยาบาล 2 วัน เราก็ไปคุยงานกลับมา เราก็ไปรับคุณพ่อกลับบ้าน นี่คือแผนที่เราคุยกันไว้”

“แต่ปรากฎว่าในวันที่เดินทาง ตอนเช้าเราก็อยู่ส่งพ่อขึ้นรถ ก็ไม่มีอะไร ทุกอย่างเหมือนกับทุกวันตามปกติ แต่ด้วยความที่ช่วงนี้เวลาจะไปเฝ้าไข้มันต้องมีการตรวจ PCR ซึ่งพอตรวจแล้ว เราก็จะผลัดกันเฝ้าครั้งละ 5-7 วัน แต่ทีนี้พอมันเป็นแค่ 1-2 วัน เราเลยคิดว่าให้ผู้ช่วยเป็นคนไปเฝ้าแทนก่อน เพราะเราจะได้พาคุณแม่ไปพักผ่อนให้ท่านได้หายใจหายคอบ้าง”

“ตลอดระยะเวลาที่คุณพ่ออยู่โรงพยาบาลอี๊ฟจะคุยกับผู้ช่วยอยู่เรื่อยๆ แต่พอถึงช่วงกลางคืนสักประมาณตี 2 นิดๆ ผู้ช่วยก็โทรมาเรื่องความดัน และก็ถามเราว่าพรุ่งนี้สามารถกลับเลยได้ไหม เราก็บอกว่าได้ แต่ปรากฎว่าประมาณตี 4 ผู้ช่วยเขาโทรมาใหม่ และเขาก็บอกว่าไม่น่าจะนาน อยากให้เราคุยเลย ตอนนั้นก็ยังงงๆ ค่ะ เพราะไม่คิดว่ามันจะไปถึงจุดนั้น แต่พอเราได้เห็นคุณพ่อแล้ว เราก็รู้สึกว่าไม่อยากให้พ่อต้องกังวลทุกข์ใจ อี๊ฟเลยบอกกับคุณพ่อว่า ‘ขอให้พ่อได้พักนะ ไม่เป็นไร’ ในใจตอนนั้นก็คิดนะคะว่าควรบอกให้พ่อรอหรือเปล่า แต่อี๊ฟก็รู้สึกว่าถ้าอี๊ฟพูดแบบนั้น คุณพ่อก็คงไม่โอเค คุณแม่ก็พูดเหมือนกันค่ะว่า ‘พ่อไม่ต้องห่วง พวกเรารักพ่อมากที่สุด’ และจากนั้นคุณพ่อก็ค่อยๆ หลับไป”

เสียใจไหมที่เราไม่ได้อยู่กับท่านในช่วงเวลานั้น ?
“เสียใจค่ะ แต่ก็เชื่อว่าพ่อเข้าใจ คือเรื่องแบบนี้มันไม่มีใครรู้ ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ตอนแรกก็รู้สึกหนักอึ้งนะคะ แต่ว่าคุณแม่เป็นคนที่เข้าใจมากที่สุด แม่พูดอย่างนี้เพราะว่าคุณพ่อเป็นคนที่มีชีวิตที่ดี ดีมากๆ และสิ่งเดียวที่เราทำให้เขาได้ก็คือ ทำให้เขาหมดความกังวลใจ หมดห่วง เขาจะหลับแล้วก็ไม่ควรทำให้เขารู้สึกว่าเขาจะต้องโอ๋ใครหรือกังวลเรื่องอะไรเลย เขาควรจะรู้ว่าเราอยู่ได้ เราโอเค เราจะไปต่อได้ เราจะสานต่อชีวิตที่เขาให้ไว้ได้เป็นอย่างดี”

“จากนั้นพอเรากลับมาถึงโรงพยาบาลและได้เห็นพ่อ ตอนที่เห็นคุณพ่อท่านดูผ่องใส เขาไม่ได้ดูเหมือนคนป่วย และก็ดูสงบ ไม่ได้ดูเหมือนตอนที่เขาลำบาก ต่อสู้ ไม่เหมือนช่วงที่เราผ่านช่วงเวลาแย่ๆ กันมา มันก็ทำให้เรารู้สึกว่าพ่อคงไปในที่ดีมากๆ และเขาก็คงเหนื่อยมากแล้วจริงๆ เพราะเขาดูสงบ และก็ดูมีความสุขที่ได้หลับพักเสียที”

“และคนดูแลก็บอกว่าก่อนที่คุณพ่อจะไป พ่อเห็นแสงสีเขียว ซึ่งเราก็เชื่อว่าแสงนั้นคงเป็นแสงที่นำพาเขาไปในที่ที่ดี”

คุณแม่เป็นอย่างไรบ้าง ?
“คุณแม่เข้าใจได้ดีกว่าใครๆ และอี๊ฟคิดว่าสิ่งหนึ่งที่แม่คิดก็คือ เราทุกคนทำดีที่สุดแล้ว ถ้าเรารู้เราก็คงไม่ไป มันมีช่วงเวลาที่เราลังเลเหมือนกันว่าเราจะไปดีไหม แต่บอกตรงๆ ว่าช่วงนั้นเราคงต้องใส่ใจแม่บ้าง เพราะว่าแม่ก็ค่อนข้างหลายอย่างเหมือนกัน”

“ตอนนี้อี๊ฟไม่ได้คิดว่าคุณพ่อไปไหน อี๊ฟยังคิดว่าพ่อยังอยู่กับเรา พ่อยังรับแขก พ่อรู้ว่าคนที่มาร่วมงานคือทุกคนที่รักเขา พ่อยังกลับบ้าน เมื่อวานบอกให้เขากลับบ้านเขาก็กลับ เขาก็ยังอยู่ที่บ้านกับเรา และเขาก็อยู่ในที่ที่เขามีความสุข ที่ที่เขารู้ว่าทุกคนรักเขาแค่ไหน ทุกอย่างที่ทุกคนส่งมาให้ อี๊ฟเชื่อว่าคุณพ่อได้รับ”

“รวมถึงผู้ที่ตั้งใจจะร่วมทำบุญกับคุณพ่อ อันนี้เป็นความตั้งใจของครอบครัวด้วยนะคะ คือคุณพ่อเป็นคนไข้ในพระบรมราชูปถัมภ์ เราได้รับพระเมตตา เราก็อยากจะช่วยท่านสานต่อ ทุกบาททุกสตางค์ที่ทุกคนอยากร่วมทำบุญ ทางครอบครัวเราขออนุญาตนำไปสมทบทุนกับมูลนิธิภัทรมหาราชานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เพื่อให้ท่านได้ใช้รักษาดูแลผู้ป่วยต่อไป ขออนุญาตงดรับพวงหรีด แต่สำหรับผู้ที่สั่งแล้วก็ต้องขอบพระคุณมากๆ เพราะเราก็รู้ว่าทุกคนตั้งใจ แต่ถ้าใครที่ยังไม่ได้สั่งทางครอบครัวก็ขออนุญาตให้ไปร่วมสมทบทุนโดยสามารถบริจาคให้ทางมูลนิธิได้เลย ไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องมาผ่านมือครอบครัวค่ะ”

ความผูกพันของคุณพ่อกับหลาน ?
“มีบุญเขายังไม่เข้าใจ เมื่อสักครู่นี้เขายังบอกอยู่เลยว่าคุณตาหลับ และเมื่อเช้าเขาก็ยังวิ่งตามคุณตาลงมาจากบ้าน อี๊ฟถึงรู้ว่าพ่อยังอยู่ที่บ้าน นั่นก็คือคุณพ่อยังอยู่กับเรานั่นแหละ เพราะเราบอกให้พ่อกลับบ้านกับเราพ่อเขาก็กลับ และอี๊ฟคิดว่าสิ่งที่เขาห่วงมากๆ ก็คือหลาน เขาคงเป็นห่วงว่าอี๊ฟจะเลี้ยงลูกได้โอเคไหม ซึ่งอี๊ฟก็บอกเขาแล้วว่า พ่อไม่ต้องห่วง อะไรที่พ่อหมายมั่นจะยกสมบัติให้มีบุญ ทุกอย่างก็จะเป็นของเขาค่ะ”

เราเข้มแข็งมากๆ ?
“อี๊ฟคิดว่าถ้าใครได้รับความรักจากพ่อแม่แบบที่อี๊ฟได้ ก็คงจะเข้มแข็งเหมือนกัน อี๊ฟไม่ได้เป็นลูกคนเดียวที่อยู่คนเดียว อี๊ฟเป็นลูกคนเดียวที่รายล้อมไปด้วยสิ่งที่พ่อและแม่สร้างไว้ให้ ดูจากคนที่มาช่วยงานเราในวันนี้ก็ได้ (ร้องไห้) อี๊ฟไม่เคยอยู่คนเดียว นั่นคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วที่คุณพ่อคุณแม่มอบให้กับอี๊ฟ และอี๊ฟก็ภูมิใจกับมันค่ะ”

พูดถึงแฟนคลับที่รักอาต้อย ?
“เมื่อวานนี้อี๊ฟได้รับข้อความเยอะมาก ได้รับโทรศัพท์เยอะมาก คือญาติใกล้ชิด ญาติห่างๆ คนรู้จัก แฟนคลับ คนไม่รู้จักกันเลย ทุกคนส่งข้อความมาให้กับคุณพ่อและครอบครัวเราทุกช่องทาง สิ่งหนึ่งที่อี๊ฟรู้ตั้งแต่ตอนที่พ่อยังมีชีวิตก็คือ พ่อเป็นคนที่ให้ความสุขกับคนดู ให้ความรักความเมตตากับเพื่อนร่วมงาน พี่น้องในวงการ เขาเป็นคนที่ให้ค่ะ วันนี้เขาก็เลยได้รับทุกอย่างเลย ขอบคุณนะคะ”

คำสอนของพ่อ ?
“มีเยอะเลยค่ะ พ่อสอนอี๊ฟจนวันสุดท้าย เยอะมากๆ ยกตัวอย่างนะคะ ข้อความที่พ่อเขียนแปะเอาไว้ ‘คนแพ้ต้องไม่ท้อ คนท้อต้องไม่ใช่คนแพ้’ อันนี้เป็นคำที่เขาเคยเขียน และเป็นคำที่อี๊ฟจำได้ดี นอกจากนี้ก็จะมีการสอนวิธีการใช้ชีวิต พ่อเป็นคนที่ง่ายๆ สบายๆ ถ่อมตัว ไม่เคยคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ทุกคนรักพ่อ และอี๊ฟก็เลียนแบบสิ่งนี้จากพ่อ อี๊ฟใช้ชีวิตง่ายๆ อะไรก็ได้ พ่อสอนให้อี๊ฟรู้ว่าชีวิตคนเรามันเปลี่ยนแปลงได้ตลอด คุณพ่อเริ่มต้นจากศูนย์ และได้ขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุด วันหนึ่งปลายทางของชีวิตมันก็ยังมีควาไม่แน่นอนเกิดขึ้น นั่นแหละค่ะที่เป็นสิ่งที่พ่อให้ไว้ จนแม้แต่ตอนสุดท้ายเขาก็ยังสอนให้อี๊ฟรู้ว่าความกตัญญูคืออะไร”

ตั้งใจจะเก็บร่างของคุณพ่อไว้ 100 วัน ?
“อันนี้เป็นแผนนะคะ คืออี๊ฟคิดว่าช่วงนี้เป็นช่วงโควิด ทุกคนก็อาจจะทยอยกันมา ก็เลยคิดว่าเราอาจจะสวดกันทุกสัปดาห์ไปจนกว่าจะครบ 100 วัน”

กำลังใจในการสู้มะเร็งของคุณพ่อ ?
“คุณพ่อมีพลังจากที่ทุกคนส่งมา พลังจากครอบครัว และก็พลังหลาน ทั้งหมดเป็นแกนกลางและเป็นข้อต่อรอง (ยิ้ม) อย่างเช่นเวลาที่คุณพ่อไม่กิน เราก็จะมีหลานเป็นข้อต่อรอง พ่อทานหน่อยนะจะได้มีแรงเล่นกับหลาน อี๊ฟคิดว่าพ่อเป็นคนที่รักครอบครัวมากๆ แต่ไหนแต่ไรมา ต่อให้คุณพ่อทำงานมาเหนื่อยหรือดึกแค่ไหน คุณพ่อก็จะไม่เคยไม่กลับบ้าน คุณพ่อกลับบ้านทุกวัน แถมยังอดหลับอดนานอุ้มอี๊ฟตั้งแต่อี๊ฟยังเล็กๆ ซึ่งนั่นมันก็ทำให้อี๊ฟรู้ว่าพลังกายของเขา คือการที่เขาอยากอยู่กับครอบครัวให้นานที่สุด” 

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ ของ "อี๊ฟ พุทธิดา" สุดกลั้นน้ำตา เล่านาทีบอกลาคุณพ่อ "ต้อย เศรษฐา" ท่านจากไปอย่างสงบ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook