โอ๊ค-เอมฟ้อง สรรพากร-กก.วินิจฉัยอุทธรณ์ ขอยกเลิกภาษีหมื่นล.
โอ๊ค-เอม ส่งทนายฟ้อง กรมสรรพากร-คณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ฯ ขอยกเลิกประเมินภาษีรวมกว่าหมื่นล้าน อ้างสรรพากรทำงานตามใบสังคตส.
เมื่อเวลา 11.45 น. ที่ศาลภาษีอากรกลาง ถ.รัชดาภิเษก -นายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยนางกาญจนาภา หงษ์เหิน มอบอำนาจให้นายเมธา ธรรมวิหาร ทนายความของยื่นฟ้องกรมสรรพกร ,นายสุทธิชัย สังขมณี ,นายศิริศักดิ์ พันธ์พยัคฆ์ และนายณัฎฐภพ อนันตรสุชาติ ซึ่งเป็นคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์การประเมินภาษีของกรมสรรพกร เป็นจำเลยที่ 1 - 4 ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการประเมินภาษีของนายพานทองแท้จำนวน5,677,136,572 บาท และน.ส.พิณทองทา จำนวน5,676,860,088บาท โดยแยกฟ้องเป็นสองสำนวน
คำฟ้องในส่วนของนายพานทองแท้ สรุปว่า เมื่อวันที่ 30 ส.ค.2550 จำเลยที่ 1 ได้แจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือ ภงด.12 ประจำปี 2549 โดยระบุว่าโจทก์เสียภาษีไม่ถูกต้องเนื่องจากกรมสรรพากรตรวจสอบพบว่า เมื่อปี 2549 โจทก์เป็นกรรมการบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสเมนต์ จำกัด ได้ซื้อหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)จากบริษัทแอมเพิล ริชฯ โดยทำการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2549 รวม จำนวน 164,600,000 หุ้นในราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท
ขณะที่หุ้นชินคอร์ปฯมีราคาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์หุ้นละ 49.25 บาท หุ้นชินคอร์ปฯ ที่บริษัทแอมเพิล ริช ขายให้โจทก์เป็นหุ้นชนิดไร้ใบหลักทรัพย์ซึ่งตามหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย จะนำหุ้นลักษณะนี้ไปฝากไว้กับบริษัทหลักทรัพย์ในต่างประเทศไม่ได้ การซื้อหุ้นไม่ว่าในหรือนอกตลาดหลักทรัพย์จะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อลงบันทึกบัญชี ของผู้ฝากหลักทรัพย์ในสำนักหักบัญชีของบริษัทศูนย์ฝากหลักทรัพย์ และพบว่าได้มีการโอนหลักทรัพย์หุ้นชินคอร์ปฯจากผู้รักษาทรัพย์ช่วง คือ ธนาคารซิติแบงค์ ไปยังโบรกเกอร์ คือ บริษัทหลักทรัพย์ยูบีเอส จำกัด (มหาชน) จำนวน 164,000,000หุ้น ดังนั้นการซื้อขายหุ้นครั้งของโจทก์จึงเป็นการซื้อขายหุ้นในประเทศไทย
การที่ บริษัทแอมเพิล ริชฯ ขายหุ้นชินคอร์ปฯให้กับโจทก์ในวันดังกล่าว จึงมีส่วนต่าง คำนวณได้เป็นเงิน 7,941,950,000 บาท จึงถือว่าโจทก์ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทแอมเพิล ริชฯได้รับประโยชน์เข้าลักษณะพึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 ซึ่งกำหนดให้ต้องเสียภาษีตามมาตรา 40 (2) แต่โจทก์ได้ยื่นแบบ ภงด.90 โดยไม่นำเงินได้ส่วนต่าง 7,941,950,000 บาท ดังกล่าวมารวมคำนวณเสียภาษี จึงถือว่าสำแดงรายการต้องเสียภาษีไม่ครบ ดังนั้นจะต้องเสียภาษีเพิ่มเติมพร้อมเบี้ยปรับอีกสองเท่า รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 5,904,791,172.29 บาท โจทก์ไม่เห็นด้วย จึงได้ยื่นยอุทธรณ์ต่อจำเลยที่ 2 , 3 และ 4 ซึ่งเป็นคณะกรรมการอุทธรณ์ฯ และต่อมาเมื่อวันที่ 22 ก.ย.52 คณะกรรมการอุทธรณ์ฯได้ลดภาษีให้บางส่วนแต่ยังคงให้โจทก์ต้องเสียภาษี เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม รวม 5,677,136,572.88 บาท
โจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยดังกล่าว เพราะเห็นว่าเป็นการการดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ทั้งที่การเก็บภาษีควรเก็บตามความเป็นจริงหน่วยงานของรัฐไม่ควรต้องตกเป็น เครื่องมือของบุคคลกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด โดยเฉพาะกลุ่มบุคคลที่มาจาการล้มล้างรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดังนั้นการประเมินภาษีจึงไม่ชอบตามประมวลรัษฎากร ขัดต่อระเบียบกรมสรรพากร และแนวทางปฏิบัติตามหนังสือตอบข้อหารือกรณีไม่เป็นธรรม การประเมินไม่มีความโปร่งใส จึงขออุทธรณ์การประเมินภาษีของเจ้าพนักงานการประเมิน และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ฯทุกประเด็น และขอให้ศาลมีคำสั่งปลดภาษี และเพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงาน และขอเพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ฯพร้อมขอลดเบี้ยปรับ ศาลรับฟ้องไว้เป็นคดีเลขดำที่ 266/2552
ขณะที่ คำฟ้องในส่วนของ น.ส.พิณทองทา มีเนื้อหาสอดคล้องกันกับนายพานทองแท้ พี่ชายโดยขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำวินิจฉัยในทุกประเด็นและขอให้ปลดภาษี ลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มจำนวน 5,676,860,088.79 บาท ซึ่งศาลรับคำฟ้องไว้เป็นคดีที่ 267/2552