แม่คลอดลูกในห้องน้ำโรงงาน อุ้มไปทิ้งในป่าหน้าตาเฉย อ้างไม่สะดวกเลี้ยงอีกคน
(9 มี.ค.65) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นี่คือภาพวงจรปิดภายในโรงงานกระบี่วิเศษน้ำมันปาล์มจำกัด ในพื้นที่หมู่ 5 ต.คลองท่อมเหนือ อ.คลองท่อม จ.กระบี่ ที่บันทึกภาพของหญิงสาวรายหนึ่งเดินออกจากห้องน้ำตรงไปยังป่าละเมาะข้างต้นสน ภายในโรงงาน ซึ่งในมือเหมือนอุ้มเอาอะไรบางอย่าง ซึ่งเป็นหลักฐานที่ตำรวจใช้ในการติดตามหญิงรายนี้ หลังจากพบว่าเป็นผู้ที่นำทารกเพศชาย ที่เพิ่งคลอดไปทิ้งไว้ในป่าละเมาะ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา
ซึ่งหลังเกิดเหตุทาง รปภ.ของบริษัท ได้เดินไปพบเนื่องจากได้ยินเสียงร้อง จึงได้แจ้งพนักงานให้มาดูแล้วรีบนำส่ง รพ.คลองท่อม ก่อนแจ้งตำรวจ สภ.คลองท่อม มาตรวจสอบ
โดยทางพนักงานของบริษัท แจ้งว่า หลังเกิดเหตุได้มีการตรวจสอบกล้องวงจรปิด จนพบว่าน่าจะเป็นหญิงสาวรายดังกล่าวที่เป็นแม่เด็กจึงได้ตรวจสอบจนทราบว่า เป็นภรรยาของคนขับรถบรรทุกพ่วงที่ได้ขับเข้ามายังบริษัทเพื่อรับซื้อกะลาปาล์มไปส่งยัง จ.ชุมพร จึงได้มอบหลักฐานให้ทางตำรวจช่วยติดตามหาตัว ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุทางพนักงานของบริษัทรวมทั้งฝ่ายบริหาร มีความเอ็นดูเด็กอย่างมาก ได้คอยติดต่อสอบถามอาการ และต้องการอุปการะเด็กคนนี้ โดยเบื้องต้นได้มีการตั้งชื่อเล่นว่า น้องต้นสน ชื่อจริงคือน้องวิเศษ
ขณะที่ พ.ต.ท.สมพร สงแสง สารวัตรสอบสวน สภ.คลองท่อม เจ้าของคดีเผยว่า เหตุดังกล่าวหลังรับแจ้งก็ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ และตรวจสอบกับทาง รพ.คลองท่อม พบว่าเด็กเมื่อคลอดแล้วแม่ได้นำไปทิ้งทันทีโดยมีรกติดไปด้วย และผ่านมานานกว่า 1 ชม.ทำให้มีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด จึงได้นำส่งต่อ รพ.กระบี่ ซึ่งล่าสุดได้สอบถามไปพบว่า อาการยังน่าห่วง แพทย์ระบุว่าติดเชื้อในกระแสเลือดทั่วร่างกาย อาจไม่รอด
ส่วนทางแม่นั้นได้ติดตามจนพบว่าเป็นหญิงสาวอายุ 23 ปี บ้านอยู่ จ.สุราษฏร์ธานี ซึ่งในครั้งแรกไม่ยอมรับแต่เมื่อนำไปตรวจร่างกายพบว่าเพิ่งคลอดบุตร จนยอมรับในหลักฐานว่า เป็นแม่เด็กจริง โดยให้การว่าที่ทิ้งลูกไปนั้น เพราะตนมีลูกแล้ว 1 คน วัย 2 ขวบ มีอาชีพทำงานร่วมกับสามีคือขับรถบรรทุกไปไหนก็จะอยู่บนรถทำให้คิดว่าจะลำบากในการเลี้ยงลูก จึงได้นำไปทิ้งดังกล่าว ซึ่งขณะนี้ได้ให้ไปแจ้งเกิดทำใบสูติบัตรให้เด็ก ส่วนทางคดียังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหา เนื่องจากต้องรอให้เด็กปลอดภัย ซึ่งก็มี 2 แนวทาง คือ หากพ้นขีดอันตรายก็จะเป็นความผิดทอดทิ้ง แต่เมื่อยอมรับและเลี้ยงดูต่อก็ไม่มีปัญหา แต่หากเด็กเสียชีวิตขึ้นมาก็จะมีความผิดทางอาญามีโทษหนัก ซึ่งคงต้องรอดูว่าผลจะออกมาเช่นไร