"โย ทัศน์วรรณ" และลูกสาว เปิดใจนาทีบอกลา "สรพงศ์ ชาตรี" คุณพ่อเขาสู้มาเยอะแล้ว
ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความเศร้าโศก ณ บริเวณศาลากลางน้ำ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร ซึ่งเป็นสถานที่จัดพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ของ นายกรีพงศ์ เทียมเศวต หรือ สรพงศ์ ชาตรี ศิลปินแห่งชาติ ที่ได้จากไปอย่างสงบ เมื่อช่วงเย็นวานนี้ (10 มี.ค. 65) ด้วยโรคมะเร็ง
โดยทางด้าน โย-ทัศน์วรรณ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา หรือ อาโย และลูกสาว ขวัญ พิมพ์อัปสร ก็ได้ออกมาเปิดไปถึงช่วงเวลาสุดท้ายของพระเอกผู้ซึ่งเป็นตำนานกับสื่อมวลชนว่า...
ทราบข่าวอาการป่วยขอบคุณพ่อนานขนาดไหนแล้ว ?
ขวัญ : “นานแล้วค่ะ คุณพ่อป่วยมาพักใหญ่แล้ว แต่ทุกคนอาจจะไม่ได้ทราบมาก่อน เพราะเป็นความประสงค์ของคุณพ่อ ที่ไม่อยากให้ทุกคนเป็นห่วง จริงๆ อย่างที่เห็น คุณพ่อจะเป็นคนแข็งแรงมาก เราก็คิดว่าเดี๋ยวพอรักษาแล้วก็กลับมาทำงานเหมือนเดิม แข็งแรงเหมือนเดิม ก็เลยไม่ได้บอกใคร”
มีโอกาสไปเยี่ยมคุณพ่อบ่อยแค่ไหน ?
ขวัญ : “แรกๆ ไม่ค่อยได้ไปค่ะ เพราะว่าเป็นช่วงที่ไม่ได้เป็นอะไรเยอะ ทุกครั้งที่ไปที่กอง คุณพ่อจะหกสูง จะแข็งแรงมากๆ ในอายุประมาณนี้ เราก็คิดว่าเดี๋ยวเขาก็หาย แต่ว่าตอนนั้นก็คือยังไม่ทราบแน่ชัดค่ะ ว่าเป็นอะไรกันแน่ เลยยังไม่ได้ไปเยี่ยม แล้วก็เป็นช่วงโควิดพอดี แต่พอเริ่มอาการเยอะ เราก็ว่าต้องไปดูแล้วแหละ ว่าเป็นอะไร”
“ช่วงที่อาการเยอะขึ้น คือจากที่ตอนแรกมีแค่การป่วยนิดๆ หน่อยๆ ก็เริ่มเหมือนกับว่าช้าลง เริ่มเดินเหินไม่ได้สะดวกเหมือนเดิม (เมีอาการตั้งแต่ช่วงไหน?) ก็น่าจะพักใหญ่แล้ว แต่จำเวลาแน่นอนไม่ได้ เพราะมันเป็นช่วงที่มีสถานการณ์โควิดด้วย มันก็เลยกลายเป็นว่า ยิ่งไม่อยากบอกใครให้เขามาเยี่ยม เราก็กลัวเรื่องติดเชื้อด้วย แต่ทีนี้ญาติก็เริ่มทยอยมาเยี่ยมเยอะขึ้น แต่ทุกคนก็ยังคิดว่าคุณพ่อต้องหายค่ะ จนเร็วๆ นี้ก็ยังคิดว่าคุณพ่อต้องหาย”
ตอนที่คุณพ่อป่วย กำลังใจท่านเป็นอย่างไรบ้าง ?
ขวัญ : “กำลังใจดีตลอดค่ะ คือต้องบอกว่าคุณพ่อเป็นคนแข็งแรง ทั้งร่างกายและจิตใจ กำลังใจดีตลอด แม้กระทั่งวินาทีเมื่อวาน ก็ไปแบบกำลังใจดี ไปแบบยิ้ม เราก็ได้อยู่ในวินาทีสุดท้ายด้วยค่ะ คือจากปกติทุกครั้งที่ไป เราก็จะเห็นความดันของคุณพ่ออยู่ประมาณ 130-140 คือจะขึ้นๆ ลงๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน คือความดันตก ตอนที่เราเข้าไปคือประมาณ 70 เรารู้เลยว่าลดกว่าเดิมเยอะ คุณหมอก็บอกเลยว่า พยายามปั๊ม พยายามช่วย แต่ว่าไม่ขึ้น วินาทีที่เข้าไปจับมือคุณพ่อ ปกติทุกครั้งที่เข้าไปจับ มือคุณพ่อจะอุ่น แต่เมื่อวานมือเย็น เราก็พยายามบีบให้มืออุ่นขึ้น เราก็รู้สึกใจเสีย ทุกคนก็เอาใจช่วย แต่คุณพ่อก็สู้มาเยอะแล้ว คุณหมอยังบอกว่า จริงๆ ถ้าความดันตกนานขนาดนี้ ต้องไม่ได้แล้ว แต่คุณพ่อยังอยู่ได้เรื่อยๆ อยู่ได้นาน ตอนแรกคุณหมอยังคิดว่าน่าจะเสียก่อนเวลานั้นด้วยซ้ำ แต่คุณพ่อก็ยังคงหายใจได้อยู่”
ระหว่างจับมือคุณพ่อ วินาทีนั้นเราได้พูดอะไรกับท่านไหม ?
ขวัญ : “จริงๆ ก็พูดตลอด จนพูดว่าถ้าคุณพ่อไม่ไหวจริงๆ ก็ไม่ต้องห่วงอะไร ไม่ว่าพ่อจะอยู่หรือจะไป พ่อก็ยังอยู่ในใจเรา ไม่อยากให้เขาห่วงอะไร เราไม่อยากให้เขาทรมาน สิ่งที่ทุกคนพยายามทำ คือไม่อยากให้เขาทรมาน แม้กระทั่งตอนอยู่ในห้องไอซียู ก็พยายามทำยังไงก็ได้ ให้เขาไม่เจ็บปวด ไม่ทรมาน เพราะฉะนั้นคุณพ่อจะไม่เคยแบบโอ๊ยปวด เขาจะนิ่ง เปิดธรรมมะเขาก็จะสวดไปด้วย ไม่เคยอยู่ในอาการเจ็บ”
ตลอดระยะเวลาที่เข้ารักษาตัวล่าสุด ก็สู้มาโดยตลอด ?
ขวัญ : “สู้ค่ะ หน้าตาสดใสตลอด ทุกครั้งที่ไป มีแค่อาทิตย์ที่แล้ว ที่หน้าตาซูบลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ทุกครั้งคือหน้าตาสดใสเหมือนพวกเราปกติเลยค่ะ แรงเยอะมากเหมือนเดิม เพียงแต่ว่ามีความเจ็บป่วยในร่างกาย แต่พลังกำลังทุกอย่างแข็งแรง เราเห็นจากชีพจรต่างๆ ว่าสู้สุดๆ (ตลอดเวลาสื่อสารได้?) คือรับรู้ค่ะ แต่ก็จะมีบางช่วงบางที ที่คุณหมอจะให้เหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่คุณพ่อจะแสดงออกให้เราเห็น แม้กระทั่งตอนครึ่งหลับครึ่งตื่น ว่ารับรู้นะ บางทีตื่นมาจำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ไม่มีช่วงที่ไม่รับรู้ค่ะ”
อาโย ได้มีโอกาสไปเยี่ยมบ้างไหม ?
อาโย : “อาโยไม่ได้ไปเยี่ยมเลยค่ะ เพราะว่าอาโยทำงาน ถ่ายละครเกือบทุกวันเลย จริงๆ น้องๆ นักข่าวก็พยายามถามอาโยนะคะ แต่อาโยก็บอกเสมอว่าอาโยคงเป็นคนตอบคำถามไม่ได้ เพราะว่าอาโยไม่ได้เป็นคนดูแล ฉะนั้นอาโยจึงไม่ทราบรายละเอียด ซึ่งถ้าหากอาโยตอบไปโดยที่ไม่รู้จริง มันก็คงไม่ถูกต้อง คืออาโยก็รับทราบ เพียงแต่ถ้าจะถามว่าอาโยรู้รายละเอียดอะไรไหม อาโยก็รู้พอๆ กับน้องนักข่าวนี่แหละ อาโยไม่สามารถตอบได้”
เห็นว่าตอนแรกมีการนัดกับคุณยายชั้นไว้ด้วยว่าจะไปเยี่ยม ?
อาโย : “ใช่ค่ะ คือจะไปรับคุณยายมาอยู่ที่บ้าน เพื่อที่เวลาไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลจะได้ใกล้ขึ้น เพราะถ้าอยู่ที่อยุธยากว่าจะมามันก็ใช้เวลานาน อาโยก็เลยนัดแล้วล่ะว่าจะไปรับตอนเช้าของอีกวัน แต่ก็ไม่ทันถึงวันนั้นซะก่อน เพราะเขามาเสียตอนบ่าย ซึ่งพออาโยรู้เรื่องปุ๊บอาโยก็เลยโทรถามว่า อยากมาเลยไหม พอเขาบอกว่าอยากมาเลย อาโยก็เลยตีรถไปรับ มืดแล้ว”
ตัวอาโยเองก็เป็นห่วงคุณยายชั้นมาก ?
อาโย : “เพราะว่าพี่ชั้น เป็นผู้หญิงคนเดียวในพี่น้อง และท่านก็รับรู้เรื่องการสูญเสียมาตลอด จากพ่อ แม่ พี่ชาย และนี่มาน้องชายอีก พี่ชั้นรับรู้ทุกคนหมดเลย และก็เพิ่งจะผ่าตัดหัวใจไปเมื่อไม่นาน เป็นห่วงค่ะ กลัวจะเป็นลมเป็นแล้ง อย่างวันนี้ที่มาก็เป็นห่วงต้องคอยถามตลอดว่าไหวไหม โอเคไหม วินาทีที่เขาแบกโลงเข้ามาก็ต้องกลัวเป็นลม ต้องคอยเตรียมยาไว้ตลอด หรือตอนที่เอาร่างขึ้นมาก็ถามนะคะว่าอยากเห็นไหม คือต้องคอยถามตลอดว่า โอเคไหม ไหวไหม ค่อนข้างเข้าใจเขามากๆ เพราะพี่ชั้นเป็นคนที่รักครอบครัวมาก รักมากจริงๆ รักพี่รักน้อง”
แสดงว่าตัวอาโยเองก็ เคยเดินทางไปหา คุณยายชั้นอยู่บ่อยๆ ?
อาโย : “ใช่ค่ะ ติดต่อกันตลอด สนิทกัน”
ขวัญ : “คุณป้าช่วยคุณแม่เลี้ยงขวัญมาก็เลยจะสนิทกันมาก คุณย่ากับคุณป้าเป็นคนเลี้ยงขวัญมา คือบ้านของครอบครัวที่คุณพ่ออยู่มาตั้งแต่เด็ก ก็จะมีคุณปู่ คุณย่า และก็คุณพ่อกับพี่น้อง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือป้าชั้นนี่แหละค่ะ คือทุกปิดเทอมก็จะไปอยู่ที่บ้านนั้น โดยจะมีคุณย่ากับคุณป้าเป็นคนเลี้ยงดูขวัญ มันเลยทำให้ขวัญค่อนข้างผูกพันและดูแลกันมาตลอด ก็จะเป็นอย่างนี้ค่ะ”
ความผูกพันของเรากับคุณพ่อเป็นอย่างไรบ้าง ?
ขวัญ : “จริงๆ มันก็จะมีช่วงที่ขวัญกับพ่อไม่ค่อยได้เจอกันและก็จะมีช่วงที่เจอกันเยอะมากๆ คือก็แล้วแต่เวลานั้นๆ ตามโอกาสไป แต่ด้วยความที่ขวัญสนิทกับคุณย่า สนิทกับคุณป้า สนิทกับหลานๆ บ้านคุณพ่อทุกคน เพราะเราโตมาด้วยกัน ขวัญก็เลยค่อนข้างมีความผูกพัน และอย่างในตอนที่ขวัญเป็นผู้จัดละคร คุณพ่อก็มาเล่นละครให้ขวัญตลอด ไม่ว่าขวัญจะให้ทำอะไรคุณพ่อก็จะพยายามทำให้ อย่างเช่นเรื่อง แม่อายสะอื้น ที่ขวัญขอให้พ่อเรียนภาษาเหนือ เรียนรำกลองสะบัดชัย และพ่อก็ต้องตาบอด พ่อต้องไอ คือตอนนั้นพ่อก็ถามขวัญนะ ว่าพ่อต้องทำทุกอย่างพร้อมกันเลยเหรอ พ่ออายุ 60 แล้วนะ แต่ขวัญก็อธิบายไปว่า นี่ไงถึงได้ต้องเป็นพ่อ แต่สุดท้ายคุณพ่อก็ทำให้ขวัญอย่างสุดพลัง จนช่วงหลังๆ ที่เราร่วมงานกันบ่อย ขวัญจึงได้เห็นว่าจริงๆ แล้วคุณพ่อแข็งแรง และดูแลสุขภาพยิ่งกว่าขวัญอีก พ่อจะคอยบอกทุกคนเสมอว่าอะไรกินได้ หรืออะไรกินแล้วดี มันเลยทำให้ขวัญคิดว่า คุณพ่อจะอยู่กับเราไปอีกนาน ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่แข็งแรงขนาดนี้ อารมณ์ดีขนาดนี้ ไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า จะแบบ อืม… ซึ่งอายุเท่าคุณปู่เลยมั้งคะตอนที่คุณปู่เสีย”
ในฐานะคุณพ่อกับฐานะนักแสดง ท่านดูแตกต่างกันไหม ?
ขวัญ : “ต่างนิดหนึ่ง คือบางทีเราอ้อนเขาได้มากกว่า เพราะอย่างนักแสดงบางคนเราจะมีความเกรงใจ ไม่ความไม่กล้าคุยกล้าถาม แต่กับคุณพ่อคือเราอ้อนเขาได้ เรานู่นนี่เขาได้ ซึ่งถ้าหากขวัญไม่ใช่ลูกขวัญคงไม่กล้าอ้อนเขาแบบนั้น แต่ถามว่าต่างมากไหม ก็ต่างแค่นิดหน่อยค่ะ คุณพ่อเป็นคนที่ทำงานอย่างเป็นมืออาชีพ หรือแม้กระทั่งเวลาที่มีลูกค้าติดต่องานให้คุณพ่อมาทางขวัญ และขวัญไปปรึกษากับคุณพ่อ คุณพ่อก็จะถามขวัญทันทีเลยว่า ของเขาดีจริงไหม เพราะเรื่องนี้สำคัญมาก ถ้าหากของไม่มีพ่อคงไม่สามารถทำให้ได้ เนื่องจากคนให้ความเชื่อถือพ่อเยอะ คือพ่อจะสอนเรื่องจรรยาบรรณเยอะมาก”
คำสอนของคุณพ่อในวงการ ?
ขวัญ : “จริงๆ พ่อไม่ค่อยได้สอนในวงการเยอะ เพราะคุณแม่เขาจะดูแลเราอย่างใกล้ชิด แต่บางทีที่ขวัญต้องคอนเน็กกับพ่อ บางทีติดต่องานไปให้ พ่อจะพูดเน้นเลยว่า ต้องลองใช้ก่อนนะ มันต้องดีจริงๆ ถ้าเกิดคนเชื่อเราไป เราต้องมีจรรยาบรรณ พ่อเป็นศิลปินแห่งชาติ พ่อจะเน้นเรื่องคุณธรรม ความมีวินัย ให้เกียรติอาชีพ รักในอาชีพ เน้นเรื่องพวกนี้เยอะมากๆ ค่ะ”
อาโย : “เวลาบทที่เกี่ยวกับธรรมะ ถ้าคนเขียนบทเขียนมาผิด เขาจะแก้ไขหมดเลย เขาเป็นคนที่ปฏิบัติธรรมตลอดเวลา”
ขวัญ : “มีอยู่เรื่องหนึ่งที่คุณพ่อช่วยขวัญเยอะมาก เขาเล่นเป็นบทผู้ทรงศีลค่ะ เขาก็จะบอกเราเลยว่าบทอันนี้มันไม่ใช่ เราก็แล้วแต่คุณพ่อเลย พ่อจะช่วยเราในหลายๆ เรื่อง”
ความเป็นลูกของ สรพงศ์ กับ โย ทัศน์วรรณ แล้วเข้าวงการ มีความกดดันไหม ?
ขวัญ : “ตอนเด็กๆ ก็คิดแค่ว่าเราไม่ทำให้พ่อแม่เสียชื่อเพราะว่าเวลาทำอะไรดีหรือไม่ดีเขาจะไม่ได้พูดชื่อเรา เขาจะพูดว่าลูกคนนี้เกเร พูดชื่อพ่อชื่อแม่ เรียกว่ารู้หน้าที่ดีกว่า ไม่ได้กดดัน ไม่ได้รู้สึกฝืนที่จะต้องเป็นเด็กดี คุณพ่อคุณแม่ตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเอง เราก็ต้องตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีเหมือนกัน เลยไม่รู้สึกว่ายากกดดันใดใดเลย มันคือสิ่งที่ควรจะทำ เราก็ทำเป็นปกติ”
ในความภูมิใจที่ได้เกิดเป็นลูกของคุณพ่อ ?
ขวัญ : “ก็แน่นอนค่ะว่าภูมิใจมากๆ ค่ะ ภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกคุณพ่อเป็นลูกคุณแม่ ภูมิใจที่ท่านทั้งสองได้ทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะพ่อแม่เรา ในฐานะคนของประชาชนต่างๆ เป็นตัวอย่างให้เราได้อย่างดี เวลาทำงานกับพ่อกับแม่จะรู้เลยว่า เราได้ความตั้งใจมาจากแม่ เราได้เรื่องนี้มาจากแม่ คือเราจะรู้แล้วเราจะยิ่งภูมิใจค่ะ ดีใจที่คุณพ่อเองก็ภูมิใจในตัวเรา เมื่อวานตอนคุณพ่อเสีย น้าบี๋ก็มาพูดว่าคุณพ่อภูมิใจในตัวหนูมากรู้ไหม บางทีเราไม่ได้พูดกัน มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะมาพูดกัน แต่ขวัญก็รู้ว่าคุณพ่อภูมิใจในตัวเรา พ่อเองก็รู้ว่าขวัญภูมิใจในตัวพ่อเหมือนกัน”
คุณพ่อยังเหลืองานละครที่ต้องแสดงต่อไหม ?
ขวัญ : “ตอนนี้ไม่มีแล้วค่ะ เพราะว่าคุณพ่อไม่ได้รับงานมาพักหนึ่งแล้วค่ะ”
อาโย : “เพราะว่าพักหลังเขาจำบทไม่ได้แล้ว ด้วยความเจ็บป่วยเริ่มมีสัญญาณมาว่าเขาจำบทไม่ได้เพราะปกติเขาเป๊ะมาก ตอนนั้นก็หลายปีแล้ว เขาเริ่มไปเจาะปอด มีฟองในปอด”
ขวัญ : “ช่วงที่ถ่ายเรื่องแม่อายสะอื้น ก็รักษาตามปกติ ไม่ได้คิดว่ามันจะไปไกล ก็เหมือนไม่สบายไปรักษา พ่อก็มาถ่ายละครปกติ ตอนที่คุณพ่อเสียขวัญไม่ได้ถามหมอว่าพ่อป่วยในขั้นไหน ขวัญไม่ได้สนใจว่าขั้นไหน เรารู้แต่ว่าพ่อต้องหาย เรารู้ว่าพ่อเราแข็งแรง อย่างเมื่อวานคุณหมอก็พูดว่าหัวใจพ่อแข็งแรงมาก แม้กระทั่งความดันตกขนาดนี้เขายังอยู่ได้ จริงๆ ควรจะต้องไปก่อนเวลา 15.51 น. ด้วยซ้ำ แต่ระบบในร่างกายบางอย่างมันล้มเหลวแล้ว บางอย่างติดเชื้อให้ยาแล้วไตมีปัญหา แต่โดยพื้นฐานเป็นคนร่างกายแข็งแรง ส่วนของลำไส้ช่วงสุดท้ายที่คุณพ่อจะเสียอาจจะไม่ได้เกี่ยวมากไม่ได้เป็นสาเหตุมากมาย แต่ด้วยอวัยวะมันสัมพันธ์กันหมด ก็ตอบไม่ได้ว่ามันมีผลต่อเนื่องกันมายังไง”
อัลบั้มภาพ 14 ภาพ