จากเด็กเซเว่นสู่เส้นทางเชฟ

จากเด็กเซเว่นสู่เส้นทางเชฟ

จากเด็กเซเว่นสู่เส้นทางเชฟ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

โดย : สมสกุล เผ่าจินดามุข

ผู้ชายชื่อสั้น สองพยางค์ พล ตันฑเสถียรสุต เป็นเชฟและเจ้าของร้านอาหาร Spring and Summer คุณรู้หรือไม่ว่า เขาเคยเป็นพนักงานเซเว่น อีเลฟเว่น

แต่ก่อนจะเล่าถึงเรื่องราวฉากนั้นของดาราหนุ่มวัย 38 ปีที่มีน้ำเสียงเป็นจังหวะจะโคน คงต้องกรอม้วนฟิลม์ไปช่วงต้นชีวิตที่น่าสนใจไม่แพ้บทบาทในช่วงหลัง

พล เป็นลูกแม่โดมคนหนึ่ง การตัดสินใจเอนทรานซ์โดยเลือกเข้าเรียนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ของเขามีที่มา ทั้งที่ตัวเองร่ำเรียนมาทางสายวิชาชีพจากอัสสัมชัญพาณิชย์ มาจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นช่วงปีสุดท้ายก่อนจบได้รับวุฒิ ปวช.

เป็นเหตุการณ์รุนแรงจนถึงขั้นนักเรียน ที่ถูกจัดว่าเรียบร้อยที่สุดคนหนึ่งของโรงเรียนถูกทำทัณฑ์บน และเกือบถูกไล่ออก พลเล่าว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นเขารู้สึกว่าตัวเองถูกตัดสินด้วยข้อหาหนักเกินกว่าข้อ เท็จจริงที่เกิดขึ้น

"นั่นเป็นสาเหตุทำให้พลอยากเรียนกกฎหมาย และตอนนั้นพลเริ่มมองแล้วว่า ที่บ้านพลเป็นครอบครัวคนจีน คุณพ่อคุณแม่ทำงานหนักหาเงิน พอมาถึงวันหนึ่งพลรู้สึกว่าเราไม่มีใครเลยที่มีอำนาจอยู่ในบ้าน เรามีแต่เงินทอง ในหัวเรามีแต่อำนาจกับเงินทอง แต่โดนคนแกล้งไปหมด "

พลเลยรู้สึกว่า ในบ้านน่าจะมีใครสักคนคอยช่วยปกป้อง เขาคิดกับตัวเองว่า "เราอยากเป็นใครดี เราจะได้ใหญ่" พลได้คำตอบว่า อยากเป็นผู้พิพากษา

"เพราะเราโดนพิพากษาแหละครับ พลเสียใจมาก และมีความรู้สึกว่า ฉันจะเป็นผู้พิพากษา"

เมื่อตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว เขาซื้อใบสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งสมัยนั้นเปิดให้เลือกสมัครเรียนได้ 6 คณะ เขาเลือกสอบเข้าคณะนิติศาสตร์หมดทั้ง 3 คณะกับสองสถาบันการศึกษาคือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งที่ตัวเองเรียนจบมาทางสายปวช. และเรียนมาทางเลขานุการ เขาเลือกใช้ภูมิความรู้ที่พกห่อมาทั้งศิลป์ภาษาฝรั่งเศส และศิลป์คำนวณเป็นแกนนำพาตัวเองไปสู่เส้นทางนิติศาสตร์

"มันมีวิชาเยอะมากที่พลต้องเอาไปสอบ เพราะพลเรียนพาณิชย์ พลไม่ได้เรียนสังคม วิทยาศาสตร์กายภาพ พลเลยต้องไปเรียนกวดวิชาแถวสยาม ซึ่งตอนนั้นเขาฮิตกันมาก "

เขาบอกว่า ตอนที่เขาเข้าเรียนโรงเรียนกวดวิชาเป็นภาพที่ตลกมาก เขานั่งอยู่ด้านหน้า และเรียนวิชาของชั้นมัธยม 4 - 5 - 6 เรียกว่าควบหมดทั้งมัธยมปลาย เรียนทุกวันตั้งแต่จันทร์ถึงอาทิตย์ ผลจากการติวและเก็งข้อสอบที่เหมือนกับมองทะลุใจผู้ออกข้อสอบช่วยให้พลสามารถ เข้าเรียนนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ขณะที่สมาชิกในบ้านเป็นศิษย์เก่าจุฬาฯกันหมด

"ปีแรกที่พลเข้าไปเรียน เรียนดีมาก" พลพูดน้ำเสียงเน้นตอนท้าย "วิชากฎหมายผมได้ที่หนึ่งหรือที่สองของชั้นปี ปีที่สองก็ยังเรียนโอเค ปีที่สาม ลงหกวิชา ร่วงสามวิชา อะไรอย่างนี้แหละครับ" พลต่อประโยคด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนาน

เขาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นว่า เป็นเพราะการตัดสินใจเรียนนิติศาสตร์ส่วนใหญ่เกิดมาจากอารมณ์ที่เป็นลบ อารมณ์แค้น อยากแก้แค้น แต่พอเริ่มเรียนไป เริ่มเห็น "แพทเทิร์น" ของชีวิตนักกฎหมายชัดเต็มตามากขึ้น และรู้สึกว่า เขาไม่อยากได้ชีวิตแบบนั้น

ชีวิตนักเรียนกฎหมายช่วงหลังของเขาจึงห่างเหินกับมหาวิทยาลัยมากขึ้น ผลการเรียนอ่อนลง จนทางบ้านออกปากว่า "ขอแล้วกัน ไหนๆ เข้าไปแล้ว ขอให้จบ"

และสุดท้ายเขาก็เรียนจบนิติศาสตร์ตามเกณฑ์ 4 ปีด้วยคะแนนเฉลี่ยไม่หวือหวา แต่ไม่เลวร้าย พร้อมกับความฝันว่าจะเป็นผู้พิพากษาหายไปแล้ว และไม่อินกับความคิดเรื่องอำนาจและเงินตรา หลังจากพี่สาวสอบได้อัยการ ที่บ้านมีที่พึ่งพิงแล้ว

คงจะขาดอะไรไปบางอย่างถ้าไม่ได้เล่าถึงจังหวะเข้าสู่วางการบันเทิงเริงรมย์ของพล ตัณฑเสถียร

เขาเริ่มเป็นที่รู้จักในแวงวงนายแบบหลังจากปรากฏตัวอยู่บนปกนิตยสารแพรว ช่วงที่เขาเป็นลูกแม่โดมปีสี่ ทำให้มีงานถ่ายแบบเข้ามากระเซ็นกระสายแต่ยังไม่ถึงกับทำให้เขา "อิน" อยากเข้าวงการมายา

ด้วยความเป็นคนที่มีเครือข่ายทำให้เขาก้าวเข้าสู่แวดวงดนตรีกับค่าย มูเซอ ผ่านเสกสรร ชัยเจริญ หรือหนุ่มเสก เพื่อนที่เล่นเทนนิสด้วยกันบ่อยๆ ชีวิตช่วงนั้นเขาเลยได้เรียนร้องเพลงและทำงานดนตรีอยู่หนึ่งปี

วิถีทางที่พลกำลังก้าวเดินเป็นสิ่งแปลกปลอมและไม่คุ้นสำหรับบ้านของเขา ที่ไม่สนใจใยไพวงการบันเทิง ยิ่งนึกถึงภาพลูกชายเป็นนักร้อง ร้องเพลงยิ่งนึกภาพไม่ออก พลยังคงเดินหน้าเป็นนักร้องจนอัลบั้มใกล้คลอด

แต่โชคชะตาอาจไม่ได้กำหนดให้เขามาเป็นนักร้องเมื่อมีเสียงทัดทานจาก ฉัตรชัย ดุริยะประณีต Executive Producer ให้รื้อทำเพลงใหม่หมด

"เวลาที่เราโกรธใคร เราจะไม่โกรธเขาเลยถ้าเราไม่เคยรักเขา แต่คนที่ทำให้เราโกรธได้คือคนที่เรารัก คนที่เราไม่สนใจเราจะไม่โกรธ ตอนนั้น เราเองก็มีอารมณ์ ก็เลยบอกไปว่า ผมไม่ทำแล้ว จะไปเรียนต่อเพราะที่บ้านไม่อยากให้ทำ"

แทนที่จะได้ยินจากเสียทัดทานเตือนสติ แต่กลับเป็นคำตอกย้ำให้เขาตัดสินใจเดินไปข้างหน้าทั้งที่แผนการเดินทางไป ต่างประเทศอย่าว่าแต่เป็นแบบพิมพ์เขียวเลย น่าจะเรียกว่าไม่มีภาพเลยเสียมากกว่า ทำได้อย่างดีที่สุดคือ โทรไปสอบถามบรรดาพี่ๆ ที่บ้านเกี่ยวกับหนทางเรียนต่อเมืองนอก

"โชคดีตอนนั้นสอบโทเฟิลไว้แล้ว สอบทิ้งไว้ก่อน รีบไปดู ยังไม่หมดอายุ พี่ชายมีเพื่อนเรียนอยู่เมืองนอก ส่งโทเฟิลไปบอกเพื่อนว่าน้องอยากเข้าเรียน เหตุการณ์ตอนนั้น มีนาคม มหาวิทยาลัยเปิดเทอม 1 พ.ค. กะทันหันมาก"

พลบอกว่า ที่จริงตัวเขาอยากเรียนต่อสายการโรงแรมมากกว่า และมองสถานที่เรียนแถวสวิตเซอร์แลนด์ไว้แล้ว แต่แม่ไม่เห็นด้วยที่ลูกจะไปคว้าปริญญาตรีมาอีกใบ แทนที่จะไปต่อปริญญาโทเหมือนคนอื่น

หลังจากวิวาทะทางความคิดกันได้พักหนึ่งในที่สุด พลเป็นฝ่ายแพ้ และไปเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยโอกลาโฮม่าสาขาบริหารธุรกิจ หรือเอ็มบีเอ ยอดฮิตแต่เป็นสาขาที่เขากลับคิดว่าสิ้นคิด

ไปเมืองนอกตอนนั้น พลบอกว่าร่าเริงมาก เพราะเป็นลูกคนเล็ก ไม่เคยออกจากบ้าน พอไปถึงตรงนั้นก็บอกกับตัวเธองว่า "เสร็จฉันละ อยู่คนเดียวแล้ว" ที่บ้านให้พี่ชายไปส่ง แต่อยู่เป็นเพื่อนได้พักเดียวบินกลับ เพราะเคืองน้องชายที่เอาแต่ถามที่เที่ยว ช้อปปิ้ง และไปยิมออกกำลังกายแทนที่จะถามถึงสถานที่เรียน และกระตือรือร้นไปลงทะเบียน

ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นคนเกกมะเรกเกเร แต่พล ตัณฑเสถียร กลับเป็นคนมุ่งมั่นตั้งใจเรียนทุกชั่วโมง อะไรไม่รู้ก็ยกมือถาม และยังแอบดีใจที่ความรู้จากอัสสัมชัญพาณิชย์ถูกนำมาใช้กับเอ็มบีเอได้หมด เพราะเป็นเรื่องพื้นฐานของตัวเลข และเรียนเสริมด้านการตลาด บัญชี และการบริหารธุรกิจ

"ตอนนั้นรู้กว่า เรียนหนังสือสนุกจัง สนุกโดยธรรมชาติ เราเป็นลูกพ่อค้ามั้ง เรียนเรื่องเกี่ยวกับตัวเลขก็สนุก เรียนเศรษฐศาสตร์ก็สนุก "

เขาเรียนได้คะแนนดี สอบได้ที่ 1 ตลอด และจบปริญญาโทเอ็มบีเอมาด้วยเกรด 3.97 ได้เหรียญทองของมหาวิทยาลัย

ก่อนพลกลับมาเมืองไทย เขามีโอกาสได้ชมละครเวที ประกอบกับสาขาวิชาเด่นของมหาวิทยาลัยโอกลาโฮมาคือ การละคร มีการแสดงมิวสิคัล และบทละครมากมายให้ชม ทำให้เมืองโอกลาโฮม่ามีโรงละครขนาดเล็กเกิดขึ้นจำนวนมาก เขาได้ชมละครเวทีเป็นร้อยเรื่องจนเกิดความรู้สึกอยากเล่นละครเวทีถึงขนาดไป ขอช่วยงานหลังเวทีเล็กๆ น้อยๆ

เขาบอกว่า ตอนนั้นชัดเจนมากว่า อยากเล่นละครเวที พอกลับมาเมืองไทยก็ได้พี่หนุ่มเสกคนเดิมพาไปรู้จักกับมารุต สาโรวาท แห่งโรงละครกรุงเทพ และเกือบจะได้เล่นละครเวทีครั้งแรก แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในทำให้สุดท้ายการคัดเลือกผู้แสดงเปลี่ยนไป

แทนที่จะได้เล่นละครเวที เลยต้องไปรับหน้าที่เป็นแบ็คสเตทประเภทลากฉาก ตามคิวนักแสดงจนรู้บล็อกกิ้งและบทของทุกคน

ระหว่างขวนขวายหาทางก้าวขึ้นไปอยู่าบนเวทีมีสปอตไลท์ส่อง ตัดฉากกลับมาที่บ้านของตัณฑเสถียรที่เริ่มรู้สึกว่า น้องคนเล็กโตแล้วทำไมยังขอเงินทางบ้านอยู่ บังคับให้เขามองหางานทำ พร้อมกับบอกกับตัวเองไม่ให้ปิดกั้นโอกาส

การหางานของ พล ตัณฑเถียร ใช้วิธีเดินตรงเข้าไปยื่นใบสมัครบริษัทที่อยู่ใกล้บ้านแถวปทุมวัน บริษัทที่เขาไปยื่นใบสมัครจึงอยู่ละแวกสีลม คว้า resume มาเป็นปึก ยืนดูป้ายชื่อบริษัทที่ชื่อค้นหูคุ้นตาหน้าลิฟต์ แล้วดิ่งตรงไปกรอกสมัครงาน

ร่อนใบสมัครอยู่อาทิตย์เดียว ได้รับคำตอบรับจากบริษัทเซเว่น อีเลฟเว่น และเริ่มงานด้านโฆษณา ทำงานอยู่ได้ครึ่งวันเองปรากฏว่าฝ่าย merchanidising ที่ทำด้านการบริหารจัดวางสินค้าขาดคน เลยถูกดึงตัวไปทำด้านนี้ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่พอได้ทำแล้วเขาบอกว่า ชอบมาก ยิ่งได้จับสินค้ากลุ่มสแน็คและของขบเคี้ยวยิ่งสนุกใหญ่ ได้พบปะกับซัพพลายเออร์ ได้สนุกกับงานบริหารจัดวางชั้น และพื้นที่ว่าง

"ตอนผมไปสมัครงาน เคยมีผู้ใหญ่สอนว่า ให้มองภาพตัวเองในบริษัท แล้วเราอยากเป็นใครให้วางตัวเองให้เป็นอย่างนั้น สมมุติว่าเราอยากเป็นผู้จัดการ เราก็ควรแต่งตัวเป็นผู้จัดการ วางตัวให้ดูน่าเชื่อถือ"

เพราะเชื่อแบบนั้น วันแรกของการทำงาน พล ตัณฑเสถียร จึงสวมสูทไปทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่แต่ในร่างความมั่นใจและความคิดของผู้จัดการ จนผู้ใหญ่มองเห็นบุคคลิก

และน่าแปลกคือ เขาได้ลงหนังสือด้านมาร์เก็ตติ้ง ให้สัมภาษณ์พูดคุยเรื่องการตลาดจนเจ้านายประหลาดใจ แถมยังมีคำบรรยายภาพว่าเขาเป็นผู้บริหารของเซเว่น อีเลฟเว่น

หลังจากเอา Look นำ ทั้งที่เป็นเพียงเจ้าหน้าที่ สุดท้ายได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว ถูกส่งตัวไปร่วมงานสัมมนา และนำความรู้เรื่องราวจากงานสัมมนามาถ่ายทอดอีกที

พลสนุกกับงานด้านการตลาดอยู่ 2 ปี โดยความฝันอยากเล่นละครยังคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา และมีโอกาสได้รับเลือกให้เล่นภาพยนตร์เรื่องแรก คู่กรรม มีละคร ถ่ายโฆษณา โบรชัวร์ หลากหลายงานสลับกับทำงานที่อาศัยช่วงพักกลางวันได้งีบเอาแรงก่อนไปสวมอีก บทบาทในช่วงค่ำยันเช้า ก่อนจะสละงานการตลาดที่กำลังสนุก และยังบ่นว่าเสียดายเพื่อไปจับงานละครเต็มตัว รวมถึงได้แสดงละครเวทีอย่างที่ฝันไว้

หากมองเส้นทางเดินทางของเขา พลเป็นคนที่เอาจริงเอาจังกับสิ่งที่ตัวเองสนใจ และใฝ่ฝัน ถึงแม้จะได้ร่วมแสดงละเครเวทีหลายเรื่อนจนจบเจน แต่เขายังพาตัวเองเข้าไปเรียนรู้การเล่นละครเวทีกับกลุ่มพระจันทร์เสี้ยว และเรียนกับครูเล็ก ภัทราวดี ที่เขาชอบชื่นชมเป็นพิเศษกับความสนุกที่ใส่อยู่ในละคร

เช่นเดียวกับบทบาทใหม่ในฐานะเชฟ และเจ้าของร้านอาหาร Spring & Summer ที่เขาเริ่มต้นทำตัวคุ้นเคยกับอาหารการกิน และสั่งสมรสนิยมการับประทานมาจากคุณพ่อที่เป็นคนมีรสนิยมการดำรงชีวิตใส่ เสื้อผ้าแบรนด์เนม ขับรถดีๆ กินข้าวตามโรงแรม และมักจะพาเขาติดสอยห้อยตามไปตลอด ทำให้เรียนรู้หลายอย่างจากพ่อ

อีกเหตุปัจจัยหนึ่งที่ก้าวมาสู่ธุรกิจอาหารจนผันตัวมาเป็นเชฟคือความรู้สึกว่า อาชีพนักแสดงเป็นอาชีพที่ต้องใช้ร่างกาย วันหนึ่งมันต้องอำลาวงการไป ควรหาอาชีพอื่นมาขนานไปด้วย

ทัศนะของเขามองอาหารไม่ใช่แค่ปัจจัยสี่ แต่มันเป็นเรื่องของแฟชั่นด้วย จุดเริ่มต้นก่อนลงธุรกิจอาหารเขายังได้ชิมลางกับงานเขียนคอลัมน์แนะนำอาหาร เริ่มต้นที่ Honeymoon and Travel และเป็นคอลัมน์นิสต์ประจำกับแพรวมาสี่ปีแล้ว โดยพยายามปรับปรุงเทคนิควิธีเขียนอยู่ตลอดเวลา

สำหรับบทบาทล่าสุด นับว่า พล ตัณฑเสถียร ประสบความสำเร็จอย่างน้อยคนจะได้รับโอกาส เป็นนักเรียนสถาบันอาหารชื่อดัง เลอ กอร์ดองเบลอ ที่สอบได้ที่หนึ่งรวดทั้งสามเทอม จนได้เป็นแบรนด์แอมบาสเตดอร์ เป็นตัวแทนเชฟไทย สู่ครัวโลกของกรมส่งเสริมการส่งออก และไปทำอาหารโชว์ที่ออสเตรเลีย ความสำเร็จทั้งหมดที่เกิดขึ้น นอกจากเป็นคนเก่งหวพริบดีแล้ว เขาบอกว่า

"แต่ละเรื่องพลพุ่งเขาหา พลจะพูดออกไปดังๆ บอกออกไปว่าอยากทำ ผมว่ามันไม่เสียอะไร "

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook