ลุงข้างบ้านสาบาน ไม่ได้ข่มขืนเด็ก 12 จนท้อง ถูกกล่าวหาจนชีวิตพัง สังคมรังเกียจ

ลุงข้างบ้านสาบาน ไม่ได้ข่มขืนเด็ก 12 จนท้อง ถูกกล่าวหาจนชีวิตพัง สังคมรังเกียจ

ลุงข้างบ้านสาบาน ไม่ได้ข่มขืนเด็ก 12 จนท้อง ถูกกล่าวหาจนชีวิตพัง สังคมรังเกียจ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ลุงข้างบ้านสาบาน ไม่ได้ข่มขืนเด็ก 12 จนท้อง ถูกกล่าวหาจนชีวิตพัง สังคมรังเกียจ ดีใจผลตรวจ DNA ทั้ง 2 รอบยันความบริสุทธิ์

จากกรณี จากเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564 แม่ของเด็กหญิงวัย 12 ปี  และได้พาเด็กหญิง เอ (นามสมมุติ) อายุ 12 ปี บุตรสาวเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ นายโสภณ อายุ 51 ปี ในข้อหาข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงเอ จนตั้งท้องและคลอดบุตรสาว เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2564 นั้น

ซึ่งต่อมาพนักงานสอบสวนได้เรียกตัวนายโสภณ มาสอบปากคำและแจ้งข้อกล่าวหาว่า พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง เพื่อการอนาจาร และกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งนายโสภณ ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และยืนยันว่าลูกสาวที่เพิ่งคลอดของเด็กหญิงเอ ไม่ใช่ลูกของตน และขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการตรวจ DNA และผลการตรวจ DNA ปรากฎว่า นายโสภณ ไม่มีความเกี่ยวพันกับบุตรสาวของเด็กหญิงเอ

จากนั้นมีการตรวจ ครั้งที่ 2 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เก็บตัวอย่างเพื่อตรวจไม่ใช่แค่ผู้ที่ถูกกล่าวหาเท่านั้นยังรวมไปถึงญาติด้วย ผลออกมาก็ไม่ตรงกับนายโสภณอีก แต่ ไปตรงกับ DNA พ่อเด็กหญิงเอ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ. ดงหลวง จึงได้เชิญตัวบิดาไปสอบปากคำ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม 65 ที่ผ่านมา ก่อนแจ้งข้อกล่าวหาในคดีนี้ และได้ทำการฝากขังเรียบร้อยแล้ว โดยไปขอความเห็นต่อศาลว่าเห็นควรขังหรือไม่ เนื่องจากว่าคดีนี้เป็นคดีสำคัญ ก็เลยไปขอฝากขัง ศาลก็อนุญาตให้ฝากขังควบคุมไว้ในระหว่างสอบสวนสืบสวน

นางสาวพนารัตน์ อายุ 24 ปี ลูกสาวนายโสภณ ผู้ถูกกล่าวหา เปิดเผยว่า รู้สึกดีใจในผลตรวจ DNA ส่วนตัวไม่ตกใจเพราะรู้อยู่แล้วว่า ผลตรวจมันไม่ใช่เพราะเราไม่ได้ทำ ความจริงคือความจริง ช่วงแรกการเป็นอยู่ของครอบครัว จากปกติพ่อเป็นเสาหลัก ตนเองยังไม่ได้ทำงาน พ่อไม่สามารถไปกรีดยางได้เหมือก่อน ไม่สามารถไปรับจ้างขนอ้อยได้ ปกติพ่อรับจ้าง รับเหมาทำบ้านก็ไม่มีคนจ้าง รายได้เป็นศูนย์ ไม่มีรายได้ อาศัยขายทรัพย์สินประทังชีวิตครอบครัวไปก่อน ขายวัว ขายสมบัติที่สะสมไว้ ขายทุกอย่างไม่เหลือเลย 

เมื่อคืนพ่อได้จุดธูปสาบานว่าไม่ได้ทำ และวันแรกพ่อไปสถานีตำรวจ พ่อขอตรวจ DNA อยากพิสูจน์ว่าไม่ได้ทำ ถึงเด็กจะพูด เราไม่ได้ทำคือไม่ได้ทำแกบอกแบบนี้ พ่อได้ตรวจ 2 ครั้ง ก็ไม่เจอ รู้สึกโล่งอกรู้อยู่แล้วว่า พ่อไม่ได้ทำ ไม่ได้ไปยุ่งกับตัวเด็กตั้งแต่อยู่แล้ว อยากไห้สังคมให้มองเรื่องนี้เป็นเหรียญสองด้าน เหรียญจะมีด้านดีและไม่ดีเสมอ อย่าตัดสินคนเราแค่ฉากละครฉากเดียว อยากให้ดูจนจบ อยากให้ทุกคนเห็นใจว่าฝั่งเราโดนกระทำ อยากให้เรื่องนี้จบเร็ว ๆ อยากใช้ชีวิตปกติอย่างเดิม อยากไปทำงานเหมือนเดิม อยากมาใช้ชีวิตกับคนในหมู่บ้านเหมือนเดิม

นางสาวพนารัตน์ เปิดเผยต่ออีกว่า ตอนที่อยู่บนโรงพักได้ถามพ่อว่า พ่อทำไหม พ่อตอบว่า พันเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ทำ แกบอกว่าจะทำทำไม แกก็มีลูกสาว เข้าใจหัวอกคนมีลูกสาว แกบอกไม่ทำเด็กหรอก ส่วนตัวเองหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่ไม่เชื่อ ตนเองก็รอผลตรวจเหมือนกัน ผลตรวจรอบแรกก็โล่งใจ คือยังไงพ่อก็ไม่ทำ พอรอบ 2 เขาให้ตรวจอีก ตอนแรกว่าจะยึดผลตรวจรอบแรก ก็คิดว่าเราไม่ได้ทำจะกลัวทำไม เลยต้องตรวจรอบ 2 ผลออกมาก็ไม่ตรง

ส่วนเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทางครอบครัวจะไม่ยุ่ง มอบให้ทนายความเป็นคนจัดการ ส่วนเรื่องคดีให้ทางตำรวจจะไม่ไปยุ่ง ตอนนี้นิ่งดีกว่าอยากให้มันจบ ส่วนฝั่งโน้นอยากให้เขานิ่ง เพราะจะส่งผลกระทบกับเด็ก ส่งผลแน่นอน โตขึ้นมาเขาดูข่าวว่าตนเองมีพ่อเดียวกันกับแม่ อยากให้ฝั่งโน้นเขาหยุด สงสารเด็ก ครอบครัวสำคัญสุด เปิดใจคุยกัน ตนเองได้ถามพ่อว่า ถ้าพ่อทำพ่อรับนะ แกบอกไม่ได้ทำ เราถึงเชื่อมั่นในตัวของพ่อ บวกกับผลตรวจ DNA ด้วย ตนเองเชื่อมั่นพ่อ อยากให้ครอบครัวเป็นจุดเซฟโซนจริง ๆ ให้เด็กกล้าพูดออกมาว่า ใครเป็นคนทำเขา

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook