"อุ๊งอิ๊งค์ แพทองธาร" เปิดใจยังไม่อยากเป็นนายกฯ! แต่ถึงเวลาต้องเปลี่ยนรัฐบาล
"อุ๊งอิ๊งค์ แพทองธาร" เปิดใจผ่านรายการ "Woody Exclusive" เล่าถึงเหตุการณ์วันที่ "คุณพ่อ" โดนรัฐประหาร ตอบชัด! ยังไม่พร้อมเป็นนายกฯ แต่ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนรัฐบาลแล้ว ลั่นอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยดีขึ้น
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Woody Exclusive ที่มี "วู้ดดี้" นายวุฒิธร มิลินทจินดา พิธีกรชื่อดังเป็นผู้ดำเนินการสัมภาษณ์ ผ่านทางยูทูบ ซึ่งมีความยาวประมาณ 20 นาที โดยมีเนื้อหาที่น่าสนใจ ดังนี้
เปิดใจ "แพทองธาร ชินวัตร"
ในช่วงแรก นางสาวแพทองธาร พูดถึงการเติบโตมาในครอบครัวชินวัตร สิ่งที่ได้เรียนรู้จากคุณพ่อ ภูมิใจที่คุณพ่อเก่ง มีอะไรถามได้ เป็นที่พึ่ง ตอน 8 ขวบ คุณพ่อเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เคยเข้าไปนั่งถ่ายรูปในกระทรวง ตอนอายุ 14 ปี คุณพ่อเป็นนายกรัฐมนตรี ในครอบครัวอบอุ่นมาก ไม่ได้รู้สึกว่าจะเป็น somebody มากๆ ไม่รู้สึกขนาดนั้น
สิ่งที่เรียนรู้จากพ่อ คือ การมีสติ ทำให้เราต้องรู้ตัวตลอดเวลา อะไรคือของจริง อะไรคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ ณ ปัจจุบัน ซึ่งตอนนั้นก็โดนเยอะ อย่างข่าวมหาวิทยาลัย ข่าวอะไรก็คงออกไปเยอะ เป็นข่าวเชิงลบกับเรา แรกๆ รู้สึกจิตใจพังเยอะ แต่ครอบครัวเป็นกำแพงให้ รู้สึกว่าเหมือนเราไม่ได้อยู่คนเดียว คุณพ่อกับคุณแม่จะมีวิธีการสื่อสารระหว่างครอบครัวเยอะ ไปค้นหาในอดีตยังมีเรื่องเอนทรานซ์โผล่ขึ้นมา ล่าสุดในอินสตาแกรมส่วนตัว ระบุว่า เรื่องนี้มันก็เก่ามากแล้ว เราผ่านกระบวนการของการสอบสัมภาษณ์ ทุกอย่างเขาสืบสวนสอบสวนหมดแล้ว เราก็เข้าเรียนได้ปกติ แล้วก็จบมา 4 ปี ตามปกติ
สิ่งที่พ่อสอนตลอด
เมื่อให้เล่าย้อนอดีตไปถึงความรู้สึกกับการเมืองช่วงแรกๆ "อุ๊งอิ๊งค์" อธิบายด้วยท่าทางอารมณ์ดีว่า อยากเป็นลูกรักพ่อ เป็นลูกสาวคนเล็ก อะไรที่พ่อทำเราก็ต้องชอบหมด เหมือนเป็นการเอาใจนิดนึง พ่อไปตีกอล์ฟ ร้อนมากแต่ก็ไปด้วย การเมืองคือสิ่งที่พ่อทำ มันก็เลยทำให้เราอยากรู้ อยากเข้าใจแล้วก็อยากที่จะเหมือนอยู่เคียงข้างพ่อไปตลอด นึกขึ้นมาเหมือนเราจะไม่ชอบการเมือง มันไม่ได้รู้สึกแบบนั้น
"สิ่งที่พ่อสอนตลอด คือ การเรียนรู้ตลอดชีวิต พูดเสมอว่า เราอย่าเป็นน้ำเต็มแก้ว แม้เราจะรู้สึกคุณพ่อเก่ง บางทีไม่เคยรู้สึกว่า ฉันเก่งที่สุดในห้อง ไม่เคยเป็น ก็จะเล่าเรื่องไปเจอคนนั้นคนนี้มา คนนั้นเก่งมาก คนนี้เก่งมาก เป็นสิ่งที่รู้สึกว่าโอเคมากๆ เราอยากจะเรียนรู้ไปตลอดชีวิต จะถ่ายทอดให้ลูกต่อ ให้หลานต่อ เราไม่ต้องกลัวที่จะเรียนรู้ เรียนรู้ไปเลย ในสิ่งที่เราไม่รู้" อุ๊งอิ๊งค์ ระบุ
"วู้ดดี้" ถามถึงเรื่อง Passion ในวันนี้ นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ตั้งแต่มีลูก อยากทำให้ประเทศน่าอยู่สำหรับลูกเรา อีกหน่อยลูกเราจะมีเวทีหรือไม่ หากอยากจะแสดงศักยภาพเขาขึ้นมา
นานแล้วที่มันเป็นอยู่แบบนี้
เมื่อ "วู้ดดี้" ถามว่า อยากให้อะไรเกิดขึ้นเร็วที่สุดสำหรับประเทศชาติบ้านเรา นางสาวแพทองธาร ตอบทันทีว่า อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลค่ะ คิดว่ารู้สึกว่า มันนานละที่มันเป็นอยู่แบบนี้ คิดว่าประเทศมันต้องไปต่อ มันต้องไปต่อ ตอนนี้มันถอยหลังอย่างเดียว จากการที่คุณพ่อออกไป ประเทศหรือเศรษฐกิจทุกอย่าง ก็ยังไม่เคยดีเท่าวันนั้น
ทั้งนี้ "วู้ดดี้" ขอให้เล่าวันที่ไม่อาจใช้ชีวิตบนแผ่นดินเดียวกับพ่อ ความรู้สึกเป็นอย่างไร "อุ๊งอิ๊งค์" ตอบว่า วันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นวันที่น่ากลัวมากๆ สำหรับครอบครัวเรา วันนั้นเป็นวันใกล้สอบ ไปถึงคอนโดมิเนียมของเพื่อน กำลังจะพูดคุย หยิบหนังสือมาอ่าน แม่ก็โทรมา กลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยนะ ออกมาเลย มีรถถังออกมา ในใจ คือ งงไปหมดเลย รถถังคืออะไร เราต้องไปไหน กำลังจะขับรถกลับบ้าน แม่ก็โทรมาอีก กลับบ้านไม่ได้ ทหารปิดซอยหมดแล้ว เลยขับไปที่เซฟเฮาส์ ก็อยู่กับคุณแม่สองคน พี่ชายอยู่คนละที่ พี่สาวกำลังเรียนปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ คุณพ่ออยู่สหรัฐอเมริกา อิ๊งค์ไปเจอคุณแม่ก่อน ก็กลัว เป็นความกลัวมากๆ ตอนนั้นยังอยู่ในชุดมหาวิทยาลัย แล้วก็โทรคุยกับพี่เอม ก็ร้องไห้ ถามว่าทุกคนโอเคหรือไม่ เราไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรมาถึงตัวเราหรือไม่ มันกลัวมากกว่า
ปฏิวัติโดยที่ไม่รู้ล่วงหน้า
อย่างไรก็ตาม เมื่อการสัมภาษณ์ดำเนินมาถึงตรงนี้ นางสาวแพทองธาร เหมือนกำลังจะร้องไห้ จากนั้นเล่าต่อไปอีกว่า สิ่งที่น่ากลัว คือ เป็นห่วงคนในครอบครัว พี่เอมก็โทรมา ไม่รู้จะทำยังไง เพราะอยู่คนเดียว อยู่กับพ่อก็หนักหนา เพราะโดนปฏิวัติที่ไม่รู้ตัวมาก่อน ปฏิวัติโดยที่ไม่รู้ล่วงหน้า พี่เอมก็เครียดเพราะอยู่กับพ่อสองคน ไม่รู้ว่าจะต้องคุยอะไร พูดอะไร บอกว่าไม่เป็นอะไรนะก็ไม่ใช่ มันไม่ใช่เรื่องที่จะ get well soon มันเป็นอะไรอีก Level หนึ่ง ผ่านไปหลายสิบปีแล้ว ไม่เชื่อว่าพูดแล้วก็ยังรู้สึก
เมื่อรู้แล้วว่าจะไม่ได้เจอหน้าพ่อง่ายๆ แล้วทำใจอย่างไร ปรับจูนอย่างไร "อุ๊งอิ๊งค์" กล่าวว่า ดีใจที่มีเครื่องบินพาณิชย์ทั่วไป ดีใจมาก ที่เรายังสามารถบินไปเจอกันได้ คุยกับคุณแม่แรกๆ ยังพูดตลอดเวลา ดีนะยังได้ยินเสียงกัน
"เป็นคนที่สนิทกับพ่อมาก ตั้งแต่เด็ก ตีกอล์ฟกับพ่อ คือไปด้วย พ่อไปหาเสียง ไปด้วยไม่เคยบ่น ไม่เคยรู้สึกอากาศรอบข้าง ไม่มีความรู้สึก เพราะเราติดพ่อ อยากอยู่ข้างๆ เขา เป็นคนกล้าบอกเขาทุกเรื่อง ตั้งแต่เด็กจนโต บอกหมดเลย" อุ๊งอิ๊งค์ กล่าว
เดี๋ยวไม่เซอร์ไพรส์
ขณะที่สนทนามาถึงตอนนี้ "วู้ดดี้" ตัดบทพร้อมกล่าวว่า มิน่าพ่อถึงบอก ถ้าอยากจะรู้กลับเมืองไทยเมื่อไหร่ ให้ถามอิ๊งค์ เพราะว่ากระซิบบอกลูกสาวเรียบร้อยแล้ว คุณพ่อเมื่อไหร่จะกลับมา "อุ๊งอิ๊งค์" ตอบว่า คุณพ่อบอก ห้ามบอกพี่วู้ดดี้ พ่อบอกว่าจะออกรายการพี่วู้ดดี้เหรอ ชู๊วส์ เงียบไว้ก่อน
"เมื่อถึงเวลาทุกคนจะรู้ค่ะ ส่วนจะรู้จากตัวเองหรือพ่อ เอาไว้ว่ากันอีกที เดี๋ยวไม่เซอร์ไพรส์ แต่ก็รอคอยวันนั้น รอคอย เชื่อว่าทุกคนในครอบครัวรอคอย สิ่งที่พูดกัน ไม่ได้พูดถึงรูปแบบของการกลับมามากมาย จะพูดกันในเรื่องแบบว่า กลับมาแล้วอยากทำอะไร บอกคุณพ่อว่า กลับมาแล้วจะให้อยู่บ้าน เลี้ยงหลาน ไม่ต้องทำงานเยอะแล้ว" อุ๊งอิ๊งค์ กล่าว
ถามว่า ถ้าพ่อได้มีโอกาสกลับมา คิดว่าในวันนี้พ่ออยากจะทำอะไรให้กับประเทศชาติ นางสาวแพทองธาร ระบุว่า ที่คุณพ่อพูดเสมอคือ อยากจะฟื้นฟูเศรษฐกิจก่อน เพราะเขาพูดเสมอ ปากท้องคนไทยตอนนี้ลำบากมาก เป็นเรื่องที่เขากังวลมาก
คิดว่าจะมีโอกาสสามารถทำงานร่วมกับนายกฯ คนปัจจุบันได้หรือไม่ นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า "ตอนนี้พรรคเพื่อไทยทำงานในสภาฯ อยู่แล้ว ถ้าถามส่วนตัวนะ ก็เปลี่ยนไหมอ่ะ มันก็นานแล้วเหมือนกันน่ะ ถ้าอ่านอะไรในโซเชียลบ้างมันก็จะเห็น คนเขาลำบากจริง แล้วเขาก็อยากได้การเปลี่ยนแปลงจริงๆ อิ๊งค์ว่ามันถึงเวลาแล้วที่มันต้องเปลี่ยน"
ยังไม่อยากเป็น "นายกฯ"
ต่อมา "วู้ดดี้" แซวและขอให้พูดถึงตำแหน่งในพรรค นางสาวแพทองธาร ตอบว่า เป็นประธานคณะทำงานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย เลยนำมาสู่คำถามที่ว่า อนาคตมีโอกาสจะรับตำแหน่งอื่นอีกหรือไม่ เช่น นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
"ว้าว นายกฯ เลยใช่ไหมคะ (หัวเราะ) ต้องแล้วแต่คนในพรรคจะเมตตาเราว่าแค่ไหน จะต้องออกมาข้างนอกว่า ประชาชนคิดอย่างไรมากกว่า" นางสาวแพทองธาร กล่าว
เมื่อถามอีกว่า อยากเป็นไหม นางสาวแพทองธาร นิ่งคิดชั่วครู่พร้อมย้อนถามว่า "นายกฯ เหรอคะ วันนี้ใช่ไหมคะ ยังไม่อยากค่ะ แต่ก็รู้สึกว่า ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง อิ๊งค์ว่า ถ้าเวลามันถึง มันใช่ ไม่รู้ความคิดจะเปลี่ยนไปยังไง แต่ ณ วันนี้ ที่พูดกับพี่วู้ดดี้อยู่ ยังไม่ได้อยากเป็นนายกฯ เราอยากจะเก่งกว่านี้ก่อน อยากจะมีประสบการณ์มากกว่านี้สักหน่อย"
เมื่อถามว่า การเมืองมันค่อนข้างดุเดือด ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม ก็จะมีการขุดคุ้ย สืบค้น ในโซเชียลมันออกมาหมด เราพร้อมแล้วใช่หรือไม่ที่จะยืนอยู่กลางแจ้ง นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า "ชินวัตรถูกขุดคุ้ยมาตลอดเลย ยังไม่มีวันไหนที่ยังไม่ถูกขุดคุ้ยเลย มันเป็นมานานแล้ว อิ๊งค์ปรับตัวตรงนั้นมานานแล้ว เรารู้อยู่แล้วว่า มันยังไม่มีอะไรที่เขายังไม่ขุดคุ้ย คิดว่า google ไปก็เจอหมด ทุกคนมีสิทธิมีเสียงพูด ควรเป็นประชาธิปไตยเต็มๆ เสียที เราสามารถพูดแสดงความคิดเห็นได้ เริ่มจากครอบครัวก่อนเลย มันง่ายสุดในการยกตัวอย่าง อิ๊งค์มีสิทธิ์พูดกับพ่อแม่ได้ทุกอย่าง บนความที่เราไม่ท้าทายเขา หรือไม่เคารพเขา อิ๊งค์พูดได้ทุกอย่างกับที่บ้าน อิ๊งค์ไม่อยากทำอันนี้ อยากทำอันนี้ ชอบอันนี้ ไม่ชอบอันนี้ แล้วอิ๊งค์ก็ได้ทำแบบนั้นมาเสมอ"
ความยุติธรรมต้องชัดเจนขึ้น
มีอะไรอยากจะบอกกับพี่น้องชาวไทยอย่างเป็นทางการเลย นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ถึงมันจะเป็นบทบาทใหม่ แต่ว่าทุกบทบาทที่ได้รับ ก็มีความตั้งใจมากๆ ไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร ก็อยากจะช่วยเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศเราดีขึ้น ไม่ว่าจะรูปแบบไหน อนาคตจะเอาโอกาสอะไรมาให้เรา เราคงต้องทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุดแน่นอน ก็ถ้าจะฝากก็ฝากพรุ่งนี้เพื่อไทย รวมทั้งส่วนตัวสนับสนุนเรื่อง LGBTQ และเรื่องสมรสเท่าเทียม
ในตอนท้าย "วู้ดดี้" ถามอีกว่า เมื่อลงสนามการเมือง กลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือไม่ เป็นสิ่งที่หลายคนเริ่มตั้งคำถามมายังคุณ นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า "เอาจริงๆ นะ เคยคิดไหมเหรอ คิดแต่ไม่ได้คิดไปในแง่นั้น คือ แค่รู้สึกว่า มันต้องดีขึ้น การเมือง เศรษฐกิจ ความคิดของประเทศ มันต้องดีขึ้น มันต้องก้าวไปข้างหน้าได้แล้ว เราจะไม่หยุดอยู่ที่เดิม ความยุติธรรมต้องชัดเจนขึ้น ทุกอย่างมันต้องเคลียร์ขึ้น"
สามารถติดตามรายการ WOODY EXCLUSIVE ได้ที่ช่องทาง Facebook: Woody, YouTube: Woody
อัลบั้มภาพ 4 ภาพ