รู้หรือไม่? ทนายส่วนตัว "น.ต.ศิธา" เคยทำคดี "มิลลิ" คอลเอาต์

รู้หรือไม่? ทนายส่วนตัว "น.ต.ศิธา" เคยทำคดี "มิลลิ" คอลเอาต์

รู้หรือไม่? ทนายส่วนตัว "น.ต.ศิธา" เคยทำคดี "มิลลิ" คอลเอาต์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หลัง มิลลิ (MILLI) หรือ มิลลิ ดนุภา คณาธีรกุล แร็ปเปอร์สาว วัย 19 ปี ขึ้นเวทีร้องเพลงและกินข้าวเหนียวมะม่วงในเทศกาลดนตรีระดับโลก Coachella 2022 เมื่อวานนี้ (16 เม.ย. 2565) ที่แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา แฮชแท็ก #MILLILiveatCoachella และกระแสข้าวเหนียวมะม่วง (Mango Sticky Rice) มาแรงในโลกออนไลน์ จนทำให้มีการพูดถึงเธออย่างกว้างขวางในฐานะนักร้องไทยคนแรกที่ได้ขึ้นเวทีนี้ และใช้ Soft Power คืออาหารไทยโปรโมทประเทศไทยไปทั่วโลก แต่กลับถูกรัฐบาลไทยออกหมายเรียกกรณี Call Out และปรับ 2,000 บาทตามความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 393 ดูหมิ่นด้วยการโฆษณา

นอกจากกลุ่มแฟนคลับในโลกออนไลน์ที่ให้กำลังใจผ่าน #saveมิลลิ และกลุ่มหมู่บ้านทะลุฟ้าที่เดินทางมาให้กำลังใจที่สถานีตำรวจแล้ว ยังมี "ศุชัยวุธ ชาวสวนกล้วย" ทนายที่มาร่วมรับทราบข้อกล่าวหากับมิลลิ คือ ทนายส่วนตัวของ น.ต.ศิธา ทิวารี และที่ปรึกษากฎหมายพรรคไทยสร้างไทย ซึ่งทนายศุชัยวุธ เผยว่าได้รับมอบหมายจากจาก น.ต.ศิธา ให้ดูแลช่วยเหลือมิลลิในทางกฎหมายและพร้อมหากจะมีการฟ้องร้องดำเนินคดีอีกจากการแสดงบนเวที Coachella 2022

จุดเริ่มต้นการเมือง น.ต.ศิธา ทหารฝั่งประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ

น.ต.ศิธา ทิวารี ผู้สมัครผู้ว่า กทม. ในนามพรรคไทยสร้างไทย หมายเลข 11 อดีตนักบินเครื่องบินขับไล่ F16 ที่ผันตัวมาลงเล่นการเมืองตอนอายุ 35 ปี เนื่องจากได้แรงบันดาลใจตอนฟัง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ขณะนั้นเป็นผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ทำให้รู้สึกว่าตัวเองพรรคมีความแตกต่างจากการเมืองแบบเดิมในสมัยนั้น และยังเปิดกว้างให้ตัวเองได้เข้ามาทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติและประชาชนได้มากกว่าการเป็นทหาร จึงตัดสินใจสมัครสมาชิกพรรคไทยรักไทยและชนะการเลือกตั้งได้เป็น ส.ส. เขตคลองเตย 2 สมัย และโฆษกรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ในปี 2545-2546 ก่อนที่จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองด้วยคดียุบพรรคไทยรักไทยจนถึงปี 2555 และกลับมาทำงานการเมืองอย่างเต้มตัวอีกครั้งกับพรรคไทยสร้างไทย

ส่วนกรณีการวิวาทะในกลุ่มไลน์พรรคเพื่อไทยว่ามีบางพรรคการเมืองโหนกระแสพรรคเพื่อไทย แต่ไม่ระบุชื่อ น.ต.ศิธา มองว่า เป็นกระบวนการเสี้ยมในรูปแบบเก่า คือผู้ใหญ่สั่งให้เด็กทำงาน ซึ่งผู้บริหารพรรคเพื่อไทยมีเวิร์ดดิ้งให้เด็กเรียบร้อย ซึ่งตัวเองมองว่าหากจะกล่าวหาผู้ใดควรระบุชื่อโดยตรง ซึ่ง น.ต.ศิธา ได้พิมพ์ตอบ ภูมิธรรม เวชยชัย อดีตเลขาธิการพรรคเพื่อไทยเป็นข้อความในกลุ่มไลน์ของพรรคเพื่อไทยว่า พรรคเพื่อไทยควรทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่านี้ เป็นพรรคใหญ่สุด ควรเป็นแกนนำฝ่ายค้าน ที่รวมพลังฝ่ายประชาธิปไตยให้เป็นปึกแผ่นให้ดี ไม่ใช่มองพรรคอื่นที่ไม่เอาเผด็จการเป็นศัตรู จ้องจะแย่งคะแนนกันไปหมด

หลากหลายบทบาท "นักบินขับไล่-นักแสดง-คุณพ่อลูก 4"

น.ต.ศิธา ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว Sanook.com ในรายการ ‘ถามจริงกับแคนดิเดตผู้ว่า กทม.’ ว่าถ้าเปรียบตัวเองเป็นซูเปอร์ฮีโร่สักตัวในสนามการเลือกตั้งนี้ ก็ขอเป็น กัปตันอเมริกา เพราะด้วยตำแหน่งที่ใครๆ เรียกว่ากัปตันตอนขับเครื่องบิน และประสบการณ์ที่เคยถูกแบนทางการเมือง เหมือนตัวละครตัวนี้ที่ถูกแช่แข็งไว้เช่นกัน

น.ต.ศิธา หรือที่ใครๆ เรียกว่า ‘ผู้พันปุ่น’ จริงๆ แล้วตำแหน่ง นาวาอากาศตรี ในกองทัพอากาศจะเรียกกันว่า ‘ผู้ฝูง’ แต่ในช่วงการเลือกตั้ง ชาวบ้านไม่คุ้นชินกับคำว่าผู้ฝูง ก็เลยเทียบเป็นยศแบบทหารบกว่าผู้พัน ผู้พันปุ่นหรือผู้ฝูงปุ่น เป็นเรืออากาศโทคนแรกของไทยที่ได้ขับเครื่องบิน F16 ซึ่งเรียนศิษย์การบินมาพร้อมกับ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.เขตสายไหม พรรคเพื่อไทย

ด้วยความที่เป็นนักบินหนุ่ม หน่วยก้าน และหน้าตาดี ทำให้มีโอกาสได้ร่วมงานในวงการบันเทิง เช่น ถ่ายนิตยสาร GM, โฆษณารถยนต์โตโยต้า, และละครความรักสีดำ เป็นนักแสดงรับเชิญในบททหารอากาศแฟนเก่าของจินตหรา สุขพัฒน์ ซึ่งได้รับการชักชวนจาก แซม ยุรนันท์ ภมรมนตรี

ผู้พันปุ่นมีลูก 4 คนเป็นลูกชาย 3 คน และลูกสาว 1 คนที่กำลังอยู่ในวัยเด็กและวัยรุ่น ดังนั้นการสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและการให้เวลากับครอบครัวจึงเป็นสิ่งสำคัญ ถ้ามีเวลาว่างในระหว่างสัปดาห์ก็มักจะทำอาหารให้ลูกๆ ทาน และในวันหยุดครอบครัวจะขับรถบ้านไปจอดและแคมปิ้งตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แต่ช่วงการระบาดของโควิด-19 สถานที่ที่เอารถบ้านมาจอดพักผ่อนและทานอาหารกับครอบครัวบ่อยที่สุดคือ สนามหญ้าหน้าบ้านคุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย พร้อมกับ Spade สุนัขบุลล์เทร์เรียร์ตัวโปรด และนกแก้วที่ฝึกบินอิสระได้

นอกจากนี้ ยังรักษาสุขภาพด้วยการทานอาหาร นอนให้เป็นเวลา และออกกำลังกาย เช่น ปั่นจักรยาน 3 วันต่อสัปดาห์ วันละ 30 กิโลเมตร ทำให้ผู้พันปุ่นในวัย 57 ปียังรักษาหุ่นได้ดีแบบมีซิกแพ็ค ส่วนสถานที่ปั่นจักรยานที่ไปบ่อยที่สุดก็คงหนีไม่พ้น สนามจักรยานเจริญสุขมงคลจิต หรือ สกายเลน ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งตนมีส่วนร่วมในการอนุมัติสร้างตอนเป็นประธานกรรมการบริหาร บริษัท ท่าอากาศยานไทย (ทอท.)

ทหารก็บริหารองค์กรได้! "เจริญสุขมงคลจิต" สนามจักรยาน Top3 ของโลกที่ ทอท.ไม่ต้องควักเงิน

สนามจักรยานนี้เป็นผลงานที่เจ้าตัวภูมิใจ เพราะสร้างมาจากการระดมทุนกับเอกชน โดย ทอท. จัดเตรียมพื้นที่และให้เอกชนมาลงทุนทำ CSR โดยที่องค์กรไม่ต้องเสียเงินเอง แต่กลายเป็นสนามปั่นจักรยานระดับ Top 3 ของโลก และเป็นโครงการ CSR ของรัฐวิสาหกิจที่ดีที่สุดในประเทศไทย และทำให้คนมาปั่นจักรยานเกิน 30 ล้านกิโลเมตรต่อปี และใช้โมเดลเดียวกันนี้ทำให้สนามบินสุวรรณภูมิมี Wi-fi ฟรี และห้องน้ำที่เป็น Universal Design สำหรับคนทุกกลุ่ม ฟรีและสวยงาม ขณะที่เอกชนก็ได้พื้นที่โฆษณาสินค้า ซึ่ง น.ต.ศิธา กล่าวว่าจะให้โมเดลนี้ในการพัฒนาพื้นที่พักผ่อนสำหรับชาว กทม. ด้วย

ขณะที่หลายคนหมดความเชื่อมั่นกับทหารที่มาเป็นนักการเมือง น.ต.ศิธา ชี้แจงว่าเป็นเรื่อง Mindset ของแต่ละคน บางคนคิดอย่างกำปั้นทุบดินว่าจะต้องสละชีพเพื่อชาติ เราก็ตายกันหมด แต่นักบินจะสอนแตกต่าง เราต้องทำภารกิจให้สำเร็จตามที่ได้รับมอบหมาย รักษาทรัพยากรของชาติคือเครื่องบินและตัวเราให้รอด และทำให้คู่ต่อสู้ต่างหากที่กลายเป็นวีรบุรุษที่สละชีพในสงคราม

“เราไม่ได้คิดว่าจะแพ้จะชนะ จะตายไม่ตาย แต่ถ้าทำไปแล้ว เราทำสำเร็จ ต่อให้เราต้องตาย แต่คนที่อยู่ข้างหลัง เขาดีขึ้น ส่วนร่วมดีขึ้น เราต้องทำ เพราะมันเป็นหน้าที่ มันเป็นภารกิจ” น.ต.ศิธา กล่าว

จากประสบการณ์ "สุดารัตน์" สู่ "ศิธา" ผู้ประกาศทลายภูเขาน้ำแข็งปัญหา กทม.

เมื่อถามถึงประเด็นการเมือง รายการวิเคราะห์การเมืองมักจะพูดถึงกรณีที่คุณหญิงสุดารัตน์ซึ่งเป็นแกนนำพรรคและผู้สนับสนุนหลักในการหาเสียงเลือกตั้ง เคยลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่า กทม. แต่ได้คะแนนเสียงไม่พอให้เป็นที่ 1 ซึ่งตรงนี้ น.ต.ศิธา ไม่มองว่าเป็นอุปสรรค์ เพราะในทางกลับกันคุณหญิงสุดารัตน์สั่งสมประสบการณ์การเมืองมานานโดยเฉพาะปัญหาของชาว กทม. ที่ท่านคุ้นเคย ทำให้วางแนวนโยบายคิดหาทางออกสำหรับปัญหาต่างๆ ของ กทม. ไว้แล้ว นั่นก็คือการทลายภูเขาน้ำแข็งจากข้างใต้ ทำลายระบบเอื้อประโยชน์ที่นักการเมืองจะเข้ามาหาผลประโยชน์และไม่ได้แก้ไขปัญหาให้ชาว กทม. อย่างจริงจัง ซึ่งตนและพรรคจะใช้การกระจายอำนาจผ่านระบบบล็อกเชนมาแก้ไข และยังมีนโยบายอื่นๆ ของพรรคที่จะทดลองทำกับกรุงเทพมหานครก่อนเป็นโมเดลแรก และจะขยายผลต่อไปทั่วประเทศไทย

“ถ้าเกิดผมได้รับเลือกเข้าไป ผมก็จะทำให้สิ่งที่ดีที่สุด แล้วผมบอกตลอดเวลา ว่าผมมอง กทม. เป็นภูเขาน้ำแข็งว่าต้องทลายด้านล่างและแก้ปัญหาทั้งหมดให้ได้ สิ่งที่ติดอยู่ในใจพี่น้องประชาชนทุกคน ผมจะทำครับ ผมจะทำในสิ่งที่ผู้ว่า กทม. ไม่เคยทำ” น.ต.ศิธา กล่าว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook