"เดี่ยว สุริยนต์" เล่ามุมชีวิตติดความสมบูรณ์แบบ เปิดรักหวาน 5 ปี คนนี้ใจบอกว่าชัวร์
เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งคนคุณภาพของวงการบันเทิงบ้านเรา สำหรับ เดี่ยว-สุริยนต์ อรุณวัฒนกูล หนุ่มมากความสามารถที่คร่ำหวอดในวงการบันเทิงมาเกือบ 20 ปี ในหลากหลายบทบาทหน้าที่และไม่เคยหายหน้าหายตาไปจากจอเลย อย่างล่าสุดเจ้าตัวก็ทำเอาแฟนละครน้ำตาแตกกับละครสะท้อนสังคมเรื่องล่าสุดที่เพิ่งลาจอไปหมาดๆ "ซ่านเสน่หา" กับบท "กษม" พี่ชายแสนดีและอบอุ่น ทำเอาแฟนๆ ติดกันทั่วบ้านทั่วเมือง
และเมื่อมีโอกาสที่ดีที่ sanook.com ได้มีโอกาสนั่งจับเข่าคุยกับผู้ชายมากฝีมือคนนี้ เลยพลาดไม่ได้ที่ต้องให้พูดถึงละครเรื่องล่าสุด พร้อมพูดคุยถึงชีวิตในวงการบันเทิง ที่ต้องบอกว่าหนุ่มคนนี้ก็คือเพอร์เฟคชั่นนิสต์ที่จริงจังในการทำงานมากๆ จนตัวเองเก็บไปเครียด และกดดันตลอดเวลา
นอกจากนี้ยังมีเรื่องความรักที่หลายคนอิจฉา อบอุ่น ฟุ้งไปด้วยความหวานมาตลอด 5 ปี ซึ่ง เดี่ยว เอ่ยปากเองเลยว่า คนนี้แหละชัวร์! จะเป็นอย่างไรบ้างไปชมกันเลย
"ซ่านเสน่หา" ผมรับบทเป็น "กษม" ครับ เป็นลูกชายคนโตเพียงคนเดียวของครอบครัวคนจีน ซึ่งป๊าเราเป็นคนที่มีความเชื่อตามประเพณีจีนโบราณเลย เกี่ยวกับเรื่องชีวิตครอบครัว ลูกชายเป็นผู้นำ ส่วนลูกสาวเป็นผู้ตามอย่าเดียว เขาเป็นคนเงียบๆ ตั้งใจทำงานมาก เชื่อฟังป๊า รักครอบครัวสุดๆ พร้อมจะเทคแคร์ทุกคน นี่คือความเป็นกษม"
ขอบคุณทุกคนมาก ฟีดแบ็คดีมากๆ ขอบคุณมากๆ ทุกคนดูตั้งแต่อีพีแรกก็มีคอมเมนต์กันแล้ว"
"เรื่องนี้ความท้าทายอยู่ที่กลับมาเป็นคนดีอีกครั้ง ปกติจะติดสายตา น้ำเสียง หรือแม้กระทั่งเวลาโกรธ ปกติเราเล่นเป็นตัวร้ายมีปม มีปัญหา เวลาโกรธจะดูดุดัน ห้าวหาญ แต่กษมเขาเป็นคนสุภาพ อบอุ่น ดูแลครอบครัว เพราะฉะนั้นต้องเปลี่ยนทุกอย่างแม้กระทั่งสายตา อารมณ์ในการแสดงออกของคนคนนี้ ยากสำหรับผมตรงที่ว่า น้อยไปก็ไม่ได้บางอารมณ์อาจจะไม่ถึง แต่พอมากไปก็ไม่ใช่กษม โกรธแบบสุดไม่ได้ ดีใจมากๆ ก็ไม่ได้"
"เขาจะเป็นคนที่มุ่งแต่การทำงาน รักครอบครัวและเจอครอบครัวที่มีปัญหาอยู่ทุกวัน มันจะมีความเก็บกดเยอะๆ เพราะเขาไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น ซัพพอร์ตน้องอยากให้น้องเข้าใจอาป๊า ที่อาป๊าเป็นแบบนี้เพราะเขาถูกเลี้ยงดูมาแบบนี้จริงๆ แต่อาป๊าก็ต้องใจเย็นๆ น้องๆ เขาถูกกดดันเยอะ อะไรแบบนี้ ซึ่งถูกเลี้ยงโดยผู้ชายเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้นเราก็จะไม่มีสิทธิ์มีเสียงไปสู้กับอาป๊าได้"
"บทนี้ต้องบอกว่าไม่ง่ายๆ ยิ่งตัวละครที่นิ่งเงียบแต่ต้องแสดงอารมณ์ออกมาชัดเจน ตรงนี้ยากสำหรับผม กลางๆ เนี่ยยาก น้อยไป หรือมากไปเนี่ยง่ายกว่า"
เรื่องนี้สะท้อนมุมไหนให้คนเห็นบ้าง?
"โอ้โห เยอะ เอาเรื่องที่ชัดเจนก่อนก็คือเรื่องครอบครัว ครอบครัวทั้งสองฝั่งต่างกันมากนะ ฝั่งผมจะเทา ไปทางดำเลย เรื่องความเครียดนะ ส่วนฝั่งของแก้ว ของฝั่งพระเอกเนี่ยจะสว่างมากเลยทุกคนพูดกันเข้าใจกัน คุณปู่ คุณย่า ลูกหลาน แต่ของผมเนี่ย อาป๊าคนเดียว ทุกคนไม่มีสิทธิ์เถียง ไม่มีสิทธิออกคำสั่ง ต้องทำตามเท่านั้น เลยมีปัญหา เรื่องครอบครัวเนี่ยชัดเจน ว่าครอบครัวในปัจจุบันมีอยู่แบบนี้จริงๆ นะ อันนี้คือสุดขั้วให้เราเห็น แต่ตรงกลางระหว่างนี้ก็ยังมีอยู่ สะท้อนให้เห็นว่ามีครอบครัวแบบไหน ปฏิบัติต่อกันอย่างไร แล้วผลมันจะเป็นยังไง เรื่องที่สองคือความรัก ความรักจะมีหลากหลายรูปแบบครับ"
นอกจากเรื่องนี้มีผลงานอะไรอีก
"มีละครอีกสองเรื่องที่น่าจะออนต่อกันเลย มีมะมี๊ไอเลิฟยู และรตีลวง ที่ออนแอร์ตอนนี้แน่ๆ แล้วก็มีลุยถ่ายตอนนี้อีก 4 เรื่อง ปลายปีนี้อาจจะได้ดูหนึ่งเรื่อง แล้วปีหน้าอีกสามเรื่อง หรือ ไม่แน่ต้องดูสถานการณ์อาจจะสี่เรื่องภายในปีหน้าเลยก็ได้"
กี่ปีแล้วกับงานในวงการบันเทิง?
"18 ปี ผมอายุ 39 แล้ว (หัวเราะ) แป๊บเดียว สิงหานี้ 40 เริ่มทำงานปี 48 ก็ 18 ปีแล้วครับ"
เรียกว่าอยู่มาทุกยุคก็ว่าได้
"จะพูดว่าแบบนั้นก็ได้นะ เพราะอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านหลายๆ อย่าง ต้องขอขอบคุณแฟนๆ ขอบคุณผู้ใหญ่ พี่ๆ น้องๆ สื่อมวลชน ที่มาทำข่าวให้เราไม่หายไปไหน หรือว่างานอีเว้นต์ต่างๆ ลูกค้าทุกคน ทีมออแกไนซ์ต่างๆ ที่ทำให้เราอยู่ในวงการตรงนี้มาได้ 18 ปี ด้วยความสุข"
"สำหรับผมวงการบันเทิงคือการสื่อสาร ละครก็สื่อสาร พิธีกรก็สื่อสาร นักร้องก็สื่อสาร แต่สื่อสารต่างกัน ตรงนี้ทำให้ผมมีความสุขเพราะมันไ่ซ้ำกันเลย พิธีกรก็ได้ข้อมูลใหม่ๆ ละครก็เหมือนได้เข้าไปในสังคมใหม่ๆ ที่ชีวิตจริงเราอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ได้ มันทำให้เรามีความสุขมาก 18 ปี ไม่เคยเบื่อเลย ขอบคุณมากๆ จริงๆ ครับ"
คิดไหมว่าจะอยู่ในวงการได้นานขนาดนี้?
"แรกๆ ไม่ ตอนแรกอยากทำธุรกิจเพราะพ่อผมเป็นนักธุรกิจ เราก็อยากอยู่ตรงนั้น มีไอดอลเป็นคุณพ่อ แต่พอโตขึ้นมาเราเริ่มรู้เริ่มเข้าใจว่าเรามาทางไหน ผมเข้าวงการจากการประกวด ผ่านการคัดเลือกแข่งขันเข้ามาทำรายการ OIC พอได้ทำจริงๆ แล้วเรารู้สึกรักมันนะ ชอบการพูดคุย ชอบการสื่อสาร และได้โอกาสมาเล่นละครก็ดีใจ สนุกไปอีกแบบนึง ทำให้เรารู้สึกว่าดีจัง แฮปปี้จังที่ได้ทำงานตรงนี้อยู่"
"พอเรามีความสุขมากขึ้น เราอยากอยู่เลย ผมไม่รู้ว่าผมจะได้อยู่นานขนาดไหนแต่ว่าผมอยากอยู่ตรงนี้ไปนานๆ จนกว่าจะไม่มีคนจ้าง ผมจะเล่นละครจนเป็นพ่อ เล่นเป็นปู่เลย และจะทำพิธีกรด้วยควบคู่กันไปเพราะเรารัก เราสนุกกับมัน"
"ผมจะเผื่อใจไว้เสมอว่าวันนึงต้องมีเด็กใหม่เข้ามา แล้วเด็กรุ่นนี้เก่ง ผมถึงบอกว่าผมรับทุกบทเรารับทุกอย่าง อันนี้คือการเผื่อใจของผม ผมไม่ได้ยึดติดว่าจะต้องบทไหนยังไง เราอยากอยู่ในวงการนี้แหละเพราะฉะนั้นตรงไหนก็ได้เรามีความสุขหมด"
ไม่จำเป็นต้องพระเอก
"ไม่เคยซีเรียส ผมเชื่อว่าทางช่อง ทางผู้จัด เขามีประสบการณ์ เขามองออกว่าใครอะไรยังไงในการแคสติ้ง เพราะฉะนั้นพอเสนอบทมา ผมแฮปปี้หมด"
เรื่องไหนในชีวิตที่รู้สึกรับมือยากบ้าง
"ผมว่าน่าจะเป็นเรื่องตัวเองนี่แหละครับ รับมือยากคือความคิดตัวเอง ความคิดของเราเองว่าเราอยากจะยืนอยู่ตรงไหน หรือว่าจุดไหนดี ในช่วงที่เราเพิ่งเริ่มต้นเพราะเราก็ไม่รู้เนาะ เรายังไม่มีประสบการณ์ พิธีกรต้องยังไง พิธีกรมีกี่แนวกี่แบบ ทำอะไรได้บ้าง นักแสดงก็เหมือนกัน แต่เราก็ค่อยเรียนรู้ ว่าพิธีกรเราจะไปสไตล์นี้ เพราะเมื่อก่อนเราค่อนข้างสับสนว่าจะไปทางไหนดี ลูกค้าจ้างเราเพราะอะไร หรือบางงานมีทีมงานโทรมาบอกว่าลูกค้าเลือกเป็นท่านอื่นนะคะ เราก็จะแบบ ทำไมเหรอ สมัยเด็กๆ นะ เพราะเรายังไม่รู้ว่าเขามีขั้นตอนอะไรยังไงบ้าง"
"เราก็ได้มาเรียนรู้ว่าจริงๆ มันมีกระบวนการเยอะกว่านั้นนะ ก่อนการคัดเลือกเราเข้าไป ด้วยรูปแบบงานที่ไม่เหมือนกัน เราก็รู้ละว่าสไตล์เราเป็นยังไงเหมาะกับงานไหน เพราะฉะนั้นมันจะจัดการกับความคิดตัวเองได้โดยที่เราจะไม่รู้สึกนอยด์ในตัวเอง และเราก็จะชัดเจนกับตัวเองเลยว่า เราสไตล์นี้เราอยู่ตรงนี้เราแฮปปี้"
ปัญหาที่เกิดจากตัวเอง?
"ผมจะมีปัญหาที่ตัวเองเยอะ เพราะเป็นคนที่ เมื่อก่อนนะ ตอนนี้ดีขึ้น ผมป็นคนที่ทุกอย่างต้องเพอร์เฟ็กต์ครับ เพอร์เฟคชั่นนิสต์ แล้วคำว่าเพอร์เฟ็กต์ของผมเป็นเส้นเดียวเลย ขีดตรงๆ ซึ่งมีเนื้อที่ให้มันน้อยมาก ถ้าผิดไปนิดนึงผมเครียดเลย บางครั้งภาพรวมของมันออกมาดูดี แต่บางทีเรารู้สึกว่าทำไมตอนนั้นถ้าเราทำแบบนี้มันจะดีกว่านี้ แต่ว่าโดยภาพงานออกมาดีมากนะครับ ดีหมด ลูกค้าแฮปปี้ ถ้าเป็นละครก็คือผู้จัดแฮปปี้ เพียงแต่ว่าเราเป็นคนทำงานเรารู้เนื้องาน โห ถ้าพูดอันนี้อีกหน่อยมันจะดีมากเลย ข้อมูลตรงนี้เพิ่มอีกนิดนึง ทำไมวันนี้เราไม่เล่นแก๊กนั้น ไม่เล่นมุขนี้ ถ้าละคร ทำไมอารมณ์วันนี้เรา แหมถ้าดันอีกนิดนะ แต่ก่อนจะเป็นแบบนี้ครับ
เราเครียด ขนาดเสร็จงานแล้วนะ ทุกอย่างแฮปปี้แต่เราเครียด คิดย้อนหลังตลอด กลับบ้านไปบางทีไม่คุยกับใครเลย เข้าไปนั่งในห้อง เอาสคริปต์มาดู แหม อีกนิดเดียว ไม่น่าเลย เป็นแบบนี้อยู่ตลอด แล้วมันเครียดมาก บางทีกลับไปนั่งเหงาเลยครับ เหงาแบบคุณพ่อคุณแม่รู้สึกได้ว่าเดี่ยวเป็นอะไร วันนี้งานโอเคไหม ก็ดีครับ อ้าวก็ดีแล้วทำไม หนูมีปัญหาอะไรลูก เราก็บอกว่าไม่มีอะไรหรอกครับ จนกระทั่งหลังๆ มันเยอะครับ เริ่มปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ ท่านเลยให้คำปรึกษามาว่าเดี่ยวอย่าเป็นแบบนี้ ทุกอย่างมันผ่านการกลั่นกรองมาแล้ว อย่างละคร ผู้กำกับเขาดูแล้วผ่านก็คือโอเค ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมเขาบอกเราเอง
"หรือว่าถ้าไม่ดีเขาไม่ให้เราผ่านอยู่แล้วนะ เราก็ อืม จริงเนอะ เพราะนั่นก็คือผลงานโดยรวมเหมือนกัน อย่างงานอีเว้นต์ก็เหมือนกัน เขาบอกว่าเดี่ยวคิดไปเอง แทนที่จะไปคิดลบแบบนี้ เราคิดว่าครั้งหน้าไปลุยใหม่ดีกว่าถ้าเราอยากทำให้มันดีขึ้น อย่าคิดให้ตัวเองเครียดแบบนี้ แล้วก็บอกว่า ไอ้เส้นตรง เส้นเพอร์เฟ็กต์ของเดี่ยวเนี่ย อย่าให้มันเป็นเส้น แต่ให้มีเป็นแก็ปไว้ มีช่องว่างให้มันขึ้นลงได้ อยู่ในเปอรืเซ็นต์ที่สมควร เช่น พลังวันนี้อาจจะแผ่วลงมานิดนึงแต่มันยังอยู่ในช่องของความเพอร์เฟ็กต์อยู่นะ บางทีถ้ามันดีขึ้นก็ดี แต่ถ้ามันตกมานิดนึงแต่มันไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมขนาดนั้น มันจะได้ไม่เครียด เมื่อก่อนผมเป็นเส้นเดียวเลยไง ผมก็เลยเริ่มพอเข้าใจบางอย่าง แล้วก็พยายามคิดใหม่ ทำใหม่ แต่ก็เต็มที่เหมือนเดิมทุกครั้ง แต่มันทำให้เราสบายขึ้นจริงๆ นะ แล้วงานออกมาดีด้วยถ้าเราไม่ได้ซีเรียสอะไรมาก เพราะรุ่งขึ้นเราก็ต้องมีงานอีกเราจะมาเครียดเรื่องเดิมอยู่ไม่ได้ ไปลุยงานอื่นต่อดีกว่า"
เพอร์เฟคชั่นนิสต์กับทุกเรื่องเลยหรือเปล่า?
"ทุกเรื่อง แต่เดี๋ยวนี้ผมเพลาลงเยอะมาก มันเครียดหมดเลย การใช้ชีวิตก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่เอาละ ตอนนี้ก็ใช้คำว่าไม่เป็นไร อ่ะ ปล่อยไปบ้าง ผ่านไปบ้าง มองภาพรวม แต่ก่อนผมนะ มองทุกเม็ด มองทุกจุด มันเครียดอ่ะ มันไม่ได้ เรามองภาพรวมโอเคกว่า"
ในวัย 39 ปี รู้สึกยังไงกับชีวิตตัวเองตอนนี้
"ผมพอใจในทุกช่วงอายุของผมนะ ถึงแม้บางครั้งมันจะสุขทุกข์บ้าง มันไม่มีช่วงไหนที่ผมรู้สึกว่าไม่น่าเลย หรือทำไมมันไม่ดี มันผิดพลาดจัง เราไม่เคยคิดแบบนั้น เพียงแต่ว่าเหนื่อย แต่ไม่เป็นไรเอาใหม่ โชคดีเรามีคนรอบข้างให้กำลังใจเราเยอะ เหนื่อยก็พักแล้วลุกขึ้นมาสู้ใหม่ ถ้าถามภาพรวมในขณะที่เราอายุ 39 ย่างเข้า 40 ซึ่งถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ในช่วงนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความมั่นคง การเงิน สุขภาพ งานของเราผมถือว่าพึงพอใจ พึงพอใจในระดับที่มีความสุขเลยล่ะ แต่ว่าถ้ามีโอกาสที่มันจะสามารถดีขึ้น เพิ่มขึ้นในจุดไหนได้เราก็จะทำ เราจะไม่นิ่งอยู่อย่างนี้ตลอดเราต้องมีการเพิ่มเติม ปรับเปลี่ยนไปตลอดเวลา"
แหล่งความสุขของเรา
"แหล่งความสุขของผมคือคนที่เรารัก ก็คือครอบครัว นี่คือแหล่งพลังงานและความสุขของผม คือสิ่งที่เติมเต็มผมคือครอบครัวคนที่ผมรักและมาเคียงคู่กันคืองาน เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญเลย"
ความรัก 5 ปี เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความเข้าใจ
"แฮปปี้มากครับ เข้าสู่ปีที่ 5 แฟนผมชื่อ “น้องหยง” เขาจะเป็นคนที่เอาใจใส่ ดูแลดีมาก ดูแลเราและทำหลายอย่างที่เราไม่ค่อยทำ หรือว่าเราไม่ค่อยมีจังหวะได้ทำ หรือเราไม่ถนัด เหมือนว่าเรามาเติมกัน อย่างเรื่องสุขภาพก็สำคัญ เขาก็จะคอยเตือน ทาครีมหรือยัง ทากันแดดด้วยนะ บางทีเจอกันก็เอาวิตามินมาให้กิน แพ็คอาหารมาให้ แล้วก็ที่ผมแฮปปี้มากๆ ต้องขอบคุณน้องเขามากๆ คือ การสั่งอาหาร คือ ผมไม่ค่อยเก่งไอทีเท่าไหร่ในบางอย่าง มีผมไปทำงานต่างจังหวัดซึ่งบริเวณนั้นไม่มีร้านอาหาร เราก็แบบกินอะไรเนี้ย ตายแล้ว ก็โทรคุยอ้อนๆ หน่อย เขาก็บอกว่าเดี๋ยวหนูสั่งให้ เขาก็ส่งเมนูมา สั่งให้เอามาส่ง บางทีทำงานกลับสี่ทุ่ม เขาบอกหนูโทรสั่งข้าวเย็นให้พี่เรียบร้อยแล้วนะ อยู่ที่ล็อบบี้ ขอจานชาม ช้อนส้อมไว้แล้วด้วย เขาจะดูแลเรา และคอยเป็นกำลังใจให้ทุกเรื่อง ดีมากๆ เลย พยายามเติมพลังให้กับเรา"
เป็นคนคาดหวังกับเรื่องความรักด้วยมั้ย?
"ความรักเนี่ยผมเป็นคนคาดหวังเสมอนะ คาดหวังเสมอว่าทุกครั้งมันจะดี มันจะดีมากๆ โดยเฉพาะครั้งนี้ ครั้งนี้ผมค่อนข้างจะชัวร์แล้วว่าคนนี้แน่ๆ เพราะว่าเข้าสู่ปีที่ 5 เราโตขึ้น และเราก็คุยกันชัดเจนว่าสถานะเราจะเป็นยังไงต่อไป มีความต้องการเหมือนกันมั้ย ดังนั้นก็ต้องช่วยกันที่จะดูแลความสัมพันธ์นี้ให้ดีเรื่อยๆ อนาคตจะเป็นยังไงก็อีกเรื่องนึง แต่เราจะทำให้ดีที่สุดและคาดหวังกับครั้งนี้"
จุดไหนที่ทำให้เรารู้สึกชัวร์กับรักครั้งนี้
"มันเป็นความรู้สึกของผม เป็นความรู้สึกที่แบบ เราคิดถึงเขาในทุกๆ จังหวะเวลา เหมือนที่เราคิดถึงครอบครัว ผมจะเป็นคนที่แบบถ้าเป็นคนที่เรารัก ผมจะคิดถึงเสมอๆ ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหน แบบมาที่นี่ น่ามาเที่ยวด้วยกันเนอะ เจออันนี้ น่าซื้อไปฝากจัง อะไรแบบนี้ ผมจะเป็นแบบนี้กับครอบครัว และตอนนี้ผมเป็นแบบนี้กับน้องเขา นอกจากจะคิดถึงแล้วยังรู้สึกว่าอยากจะมีความสุขกับเขาในทุกเรื่อง ไม่อยากมีอะไรให้ทะเลาะกันเลย พอมีปากเสียงกันปุ๊บ เราจะรู้สึกว่า ไม่เอาอ่ะ ไม่ชอบแบบนี้ ไม่อยากมีโมเมนต์แบบนั้น เราก็ไม่เคยมีโมเมนต์แบบนี้เนาะ พอทะเลาะปุ๊บอยากคืนดีเลย มันไม่ใช่อ่ะ มาคุยกันเหอะ มาง้อกันดีกว่า อยากมีความสุขกับเขาตลอดครับ (หัวเราะ) ผมก็เลยคิดว่ามันน่าจะใช่แล้วล่ะ เพราะยังไงเราก็คิดถึงแล้วก็รักเขาอยู่ดี"
พร้อมสำหรับการแต่งงานหรือยัง?
"ตอนนี้เรายังไม่ได้เร่งรีบครับ แต่ว่าต้องเกิดขึ้นแน่ๆ ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่เราวางไว้แบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็มองไว้ในอนาคตครับ แต่ไม่ได้กำหนดว่าเวลาเมื่อไหร่อะไรยังไง เพราะตอนนี้มันมีสถานการณ์ที่ยังคาดเดาไม่ได้อยู่ อย่างเรื่องโควิด และเรื่องของความมั่นคงที่ตอนนี้งานก็เพิ่งที่จะขยับขยาย งานเราก็เพิ่งเริ่มพอมีกลับมาบ้างแต่ว่ายังไม่เท่าเดิม เพราะสองปีกว่า สามปีที่ผ่านมาเราก็ใช้เงินเก็บเงินอะไร รายได้ศูนย์เลย ก็เลยคิดว่าเดี๋ยวขอสร้างตัวเองขึ้นมาอีกสักนิดนึงก่อน แล้วเดี๋ยวถึงเวลาวันไหนก็ลุยกันเลย"
เรียกว่าเติบโตมาแบบคุณภาพและมั่นคงมากๆ สำหรับหนุ่มคนเก่ง "เดี่ยว สุริยนต์" แถมเรื่องความรักตอนนี้ก็ลงตัวสุดๆ ยังไงก็รอฟังข่าวดีกันได้เลยจ้า
อัลบั้มภาพ 52 ภาพ