พระพยอม เตือนสาวกพระบิดา เอาสมองติดเครื่องกรองหน่อย เห็นแล้วแทบอาเจียน

พระพยอม เตือนสาวกพระบิดา เอาสมองติดเครื่องกรองหน่อย เห็นแล้วแทบอาเจียน

พระพยอม เตือนสาวกพระบิดา เอาสมองติดเครื่องกรองหน่อย เห็นแล้วแทบอาเจียน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

พระพยอม เห็นแล้วแทบอาเจียน เตือนสาวกลัทธิพระบิดากิน อึ-ฉี่-ขี้ไคล เอาสมองติดเครื่องกรองหน่อย ถ้ามันดีจริงป่านนี้วงการแพทย์คงล่มสลายไปหมดแล้ว

(9 พ.ค.65) เมื่อเวลา 14.30 น. พระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี กล่าวถึงประเด็นลัทธิพระบิดา หรือลัทธิที่สาวกกินฉี่ กินอึ กินขี้ไคลว่า อาตมาเห็นภาพข่าวแล้วแทบจะอาเจียนออกมาเลย ไม่นึกว่าจะเกิดแบบนี้ในเมืองไทย เสียดายพระที่อยู่ใกล้ๆ กับสำนักนี้ทำอะไรกันอยู่ อาตมาไม่นึกเลยว่าคนที่ไปเชื่อลัทธินี้อายุก็เยอะแล้ว โชคดีที่มีคนไปฟ้องหมอปลาก่อน ไม่ยังงั้นไม่รู้ว่าลัทธินี้จะแพร่ขยายไปไหนอีกเหมือนกับลัทธิที่ญี่ปุ่น

แล้วความเชื่อนี้มันประหลาด พระพุทธเจ้าท่านจึงทรงตรัสไว้ว่า ศรัทธาต้องสัมปยุตด้วยปัญญา เพราะถ้าไม่พระพยอม เห็นแล้วแทบอาเจียน เตือนสาวกลัทธิพระบิดากิน อึ-ฉี่-ขี้ไคล เอาสมองติดเครื่องกรองหน่อย จะนับถืออะไรต้องสัมปยุตด้วยปัญญาแล้วจะพาเข้ารกเข้าพงเลย แล้วถ้าเจ้าสำนักนี้ไปชวนฆ่าตัวตายขึ้นมาคนพวกนี้ก็พร้อมทำตามเหมือนลัทธิฆ่าตัวตายที่ญี่ปุ่น อันตรายมาก จึงอยากฝากผู้ที่บริหารประเทศว่า รีบสั่งการไปถึงผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอ ผู้ว่า ถ้าพบลัทธิอุบาทว์แบบนี้เกิดขึ้นต้องรีบสกัดให้ไว อย่าปล่อยให้มีสาวกเพิ่มขึ้นๆ เพราะเขาจะใช้ลูกศิษย์มาต้านตำรวจมาต้านเจ้าหน้าที่ หากลูกศิษย์เขามาเยอะกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะทำอะไรเขาไม่ได้ อย่าปล่อยให้บานปลายต้องรีบจัดการ 

พระพยอม กล่าวอีกว่า พวกเกลื่อนกลาดดาษดา ชอบทำตัวเป็นศาสนาใหม่ ไม่รีบจัดการมันก็เกิดลัทธิแบบนี้ขึ้นมาเรื่อยๆ แบบสาวกบ้าคลั่งลัทธินี้ กินไปได้ยังไง แถมยังมาบอกว่าพระบิดากำลังจะมาสร้างโลกอีก ทำให้คนบ้านนอก คนชายแดน คนที่การศึกษาไม่พอ หลงไปเชื่อลัทธิแบบนี้ สมัยก่อนก็เคยมีคล้ายแบบนี้เอาศพเด็กไปย่างไปเผาทำเครื่องรางของขลัง เหมือนกับการสร้างอาณาจักรความศักดิ์สิทธิ์ด้วยการทำให้เห็นว่า เขาอยู่กับศพได้โดยไม่กลัว สร้างปมเด่นให้คนหลงเชื่อ ส่วนประเด็นที่สงสัยว่าสังคมไทยกำลังป่วยหรือไม่นั้น ก็เผอิญเป็นช่วงจังหวะที่พระไม่ทำไม่ดีไม่งามไว้หลายเรื่องเข้า ก็อาจจะทำให้ผู้คนเลยหันไปนับถือพวกแอบอ้างคุณวิเศษแทน 

ส่วนเรื่องที่ชอบมีการกล่าวอ้างว่าการกินฉี่กินเสลดน้ำลายเป็นยา แบบสมัยพุทธกาลนั้น มันก็มีอยู่แต่ต้องกินกับสมุนไพรบ้างตัวควบคู่กัน ไม่ใช่ไปกินเพียวแบบนี้ อย่างเรื่องการกินอุจจาระนั้น ในสมัยพระพุทธเจ้าก็มีแต่เป็นการกินเพื่อทรมาน ไม่ให้ลิ้นติดรสชาติความอร่อย ลดจิตใจไม่ให้เป็นทาสลิ้น ไม่ใช่การกินเพื่อเป็นยา ภาพข่าวสาวกลัทธิที่อาตมาเห็นตอนกิน ต้องเบลอหน้าหนี ในคอก็อึกๆ จะออกมา ไม่มีใครรับได้ ศาสดาคนนี้จะต้องได้การต่อต้านและการกำจัดเพราะไม่เป็นไปด้วยความดับทุกข์อย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นอีกหน่อยก็ไม่ต้องมีแพทย์ มีโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงทั้งหลายแล้ว อีกทั้งโรคส่วนใหญ่ก็ล้วนมาจากน้ำลายจากปากเป็นส่วนมาก สิ่งที่ลัทธินี้ทำอยู่จึงสวนกระแสสังคมในยุคปัจจุบันอย่างรุนแรง 

นอกจากนี้อาตมาขอฝากเตือนไปถึงญาติโยมแถวจังหวัดชัยภูมิด้วยว่า ถ้าโยมจะนับถือเชื่อศรัทธาอะไรก็แล้วแต่ ขอให้สัมปยุตด้วยปัญญา เอาสมองติดเครื่องกรองหน่อย ว่าของเหล่านี้ถ้ามันดีจริง ป่านนี้วงการแพทย์คงจะล่มสลายไปหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องมี เพราะฉะนั้นจะเชื่ออะไรศรัทธาอะไรก็ขอให้คร่ำครวญถึงความเป็นไปได้ คิดตามหลักของพระพุทธเจ้าสักนิดนึงคือ ไม่ต้องรีบรับและไม่รีบปฏิเสธ เพราะบางอย่างถ้ารีบรับไปแล้วเป็นสิ่งไม่ดีก็ซวยไป ถ้ารีบปฏิเสธแล้วสิ่งนั้นเป็นสิ่งดีเราก็เสียโอกาส ให้ดูว่าสิ่งนั้นเป็นไปได้ สิ่งไหนเป็นโทษ สิ่งไหนเป็นคุณ

อย่างเสลดกับน้ำลายเป็นแหล่งของเชื้อโรคแล้วทำแบบนั้นเพื่ออ้างการรักษา มันก็ขัดแย้งย้อนแย้งกันในตัว สวนทางความเป็นจริง ขอให้เชื่ออย่างมีหลักการเทียบเคียง ตรึกตรอง จะได้ไม่อายชาวบ้านจังหวัดอื่นเขา จะพึ่งตนเองหรือจะพึ่งสิ่งศักดิสิทธิ์ พิจารณาดูว่าอย่างไหนจะพึ่งพาได้มากกว่ากัน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook