พ่อร่ำไห้ ลูกสาวขับไล่เมียใหม่ออกจากบ้าน ลูกเผยอีกมุม สุดทนชอบยุยงให้ยึดที่คืน
พ่อร่ำไห้ร้องขอความเป็นธรรม ลูกสาวคนโตให้ทนายทำหนังสือขับไล่เมียใหม่ที่อยู่กินกับมาเกือบ 10 ปี ออกจากบ้านซึ่งสร้างในที่ดินที่เคยยกให้ แถมงดจ่ายค่าน้ำค่าไฟ และค่าเลี้ยงดูเดือนละ 3,000 ด้านลูกสาวยอมรับขับไล่จริง เพราะทนไม่ไหวที่เมียใหม่พ่อชอบยุยงให้พ่อเรียกเอาที่ดินคืน ยืนยันยังเคารพและจะดูแลพ่อเหมือนเดิม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (18 พ.ค.) นายสำราญ อายุ 69 ปี อดีตประธานสภา อบต.แห่งหนึ่ง ในอำเภอนาโพธิ์ จ.บุรีรัมย์ พร้อมด้วย น.ส.เบญญาภา อายุ 33 ปี ภรรยาใหม่ ซึ่งใช้ชีวิตอยู่กินด้วยกันมาเกือบ 10 ปี ได้ออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรม
โดยอ้างว่าได้ถูก นางนงเยาว์ อายุ 44 ปี ลูกสาวคนโต ได้ให้ทนายทำหนังสือขับไล่ น.ส.เบญญาภา ภรรยาใหม่ ให้ย้ายออกจากบ้านที่อยู่กินกับพ่อในปัจจุบัน ซึ่งปลูกสร้างอยู่ในที่ดินเนื้อที่ 2 ไร่ 2 งาน 64 ตารางวา ที่นางนงเยาว์ ลูกสาวคนโต อ้างกรรมสิทธิ์มีชื่อครอบครองอย่างถูกต้องตามกฎหมายในโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าว ทั้งที่ผู้เป็นพ่อเป็นคนยกให้เอง
นายสำราญ ผู้เป็นพ่อ ยังบอกด้วยว่า นอกจากลูกจะทำหนังสือขับไล่ภรรยาใหม่ของพ่อออกจากบ้านแล้ว ลูกยังงดการจ่ายค่าน้ำค่าไฟมาต่อเนื่อง 3 เดือน จนถูกการไฟฟ้า แจ้งเตือนจะตัดไฟแล้ว อีกทั้งยังงดจ่ายเงินค่าส่งเสียเลี้ยงดูพ่อเดือนละ 3,000 บาทด้วย ทำให้ได้รับความเดือดร้อน
เพราะปัจจุบันพ่อไม่มีรายได้อะไรมีเพียงเบี้ยผู้สูงอายุเดือนละ 600 บาท และเก็บของเก่าขายเท่านั้น หากลูกงดจ่ายค่าน้ำค่าไฟ รวมถึงค่าเลี้ยงดู และขับไล่ภรรยาใหม่ออกจากบ้านแล้วพ่อจะใช้ชีวิตอยู่ยังไง เพราะปัจจุบันพ่อก็ป่วยเป็นโรคเก๊าท์และโรคหัวใจ ก็มีภรรยาใหม่คอยดูแลหาข้าว หาน้ำ และหายาให้กิน ก็อยากขอความเห็นใจจากลูกสาวด้วย
ส่วนที่ดินแปลงดังกล่าว ยอมรับว่าได้โอนให้กับลูกสาวคนโตไปตั้งแต่ปี 2558 แล้ว เนื่องจากลูกสาวเป็นคนไปไถ่ถอนโฉนดที่ดินแปลงนี้จากนายทุนที่ตนเองนำไปจำนองไว้ ตอนที่เดือดร้อน แต่หลังจากไปไถ่ถอนก็เคยพูดกับลูกว่า จะแบ่งที่ดินกันเป็น 3 ส่วน คือลูกสาว 2 คนๆ ละ 1 ไร่ ส่วนที่เหลือ 2 งาน 64 ตารางวา ตนจะเก็บไว้อยู่อาศัยในบั้นปลายชีวิต
แต่พอโอนเป็นชื่อลูกสาวคนโตแล้วเมื่อปี 2558 ต่อมาปี 2562 ลูกสาวก็ไปโอนต่อให้กับลูกสาวของตัวเองทั้งหมด พอมีปัญหาไม่พอใจกันก็จะขับไล่ภรรยาใหม่ของพ่อ การที่ลูกขับไล่ภรรยาใหม่พ่อออกจากบ้านก็เหมือนไล่พ่อด้วย เพราะเขาเป็นคนดูแลพ่อยามเจ็บป่วย คอยจัดหายาให้กิน ถ้าลูกทำแบบนี้ก็เหมือนอยากปล่อยให้พ่อตาย
ด้าน นางเบญญา ภรรยาของนายสำราญ บอกว่า ตนเองได้มาอยู่กินกับนายสำราญ เมื่อปี 2557 โดยมีการทำหนังสือสัญญายินยอมรับตนเองเป็นภรรยาที่ที่ทำการผู้ใหญ่ มีพยานเซ็นรับทราบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา เนื่องจากนายสำราญยังไม่สามารถหย่ากับภรรยาเดิมได้เพราะเอกสารไม่สมบูรณ์ แต่ก็มีการทำสัญญายินยอมหย่าร้างกัน ตั้งแต่ปี 2540 แล้ว ก่อนที่ตนจะมาอยู่กินกับนายสำราญ
ตั้งแต่ตนมาอยู่กินกับนายสำราญ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับอดีตภรรยา หรือลูกๆ ของนายสำราญเลย ส่วนบ้านที่ตนพักอาศัยอยู่กับสำราญ ซึ่งปัจจุบันมีชื่อของลูกสาวคนโตเป็นคนครอบครอง ก็อยู่คนละหมู่บ้านกับอดีตภรรยาและลูกๆ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันต่างคนต่างอยู่
กระทั่งเมื่อประมาณช่วงปีใหม่ลูกเขยซึ่งเป็นสามีของลูกสาวคนเล็ก ไม่พอใจที่ไก่ของพ่อที่เลี้ยงไว้ไปคุ้ยเขี่ยพืชผักที่เขาปลูกไว้ และไม่พอใจที่หมาไปเห่าเขาด้วย ลูกเขยคนเล็กจึงใช้ไม้ขว้างใส่หมาเกือบจะโดนพ่อด้วย พ่อก็เลยต่อว่าลูกเขย ทำให้เขาไม่พอใจแล้วไปฟ้องลูกสาวคนโตที่เป็นเจ้าของที่ดินแปลงดังกล่าว จนเขามาทำหนังสือขับไล่ตนเองทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด
ทั้งนี้ ตนก็อยากจะขอความเป็นธรรมและขอความช่วยเหลือด้วย ทุกวันนี้มีรายได้แค่จากการรับจ้างเลี้ยงสุนัขเดือนละ 1,500 บาทเท่านั้น และไม่มีญาติที่ไหนเพราะพ่อแม่ตายหมดแล้ว หากถูกขับไล่จะไปอยู่ที่ไหน
จากนั้นผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปสอบถาม นางนงเยาว์ ลูกสาวคนโต ก็ยอมรับว่าได้ให้ทนายทำหนังสือขับไล่ภรรยาใหม่ของพ่อออกจากบ้านและที่ดินที่มีชื่อเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองจริง เนื่องจากทนไม่ไหวที่ภรรยาใหม่ของพ่อชอบไปพูดกับชาวบ้านในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง ทำให้ตนเองกับแม่ไม่สบายใจ
ทั้งยังมีพฤติกรรมยุงยงให้พ่อยึดเอาที่ดินคืน ทั้งที่ที่ดินแปลงดังกล่าวตนเป็นคนนำเงินกว่า 5 แสนบาท ไปไถ่ถอนคืนจากนายทุนที่พ่อไปจำนองไว้ เพราะถ้าตนไม่หาเงินไปไถ่คงจะถูกยึดไปแล้ว
ที่ผ่านมาตนก็ให้พ่อและภรรยาใหม่อยู่ในที่ดินดังกล่าวอย่างสุขสบายมาตลอด ทั้งจ่ายค่าน้ำค่าไฟ และให้เงินพ่ออีกเดือนละ 3,000 บาท ไม่เคยทอดทิ้งเลย แต่สุดท้ายกลับมาทำให้ตนเองและแม่ทุกข์ใจ ตนก็ทนไม่ได้
ทั้งนี้ ยืนยันว่าจะฟ้องขับไล่ภรรยาใหม่ของพ่อออกจากบ้าน ส่วนพ่อก็ยังเคารพและจะให้เงินเดือนละ 3,000 บาท เหมือนเดิม
อัลบั้มภาพ 7 ภาพ