ยุโรป-อเมริกาเหนือ ผวา! พบผู้ป่วย "โรคฝีดาษลิง" หลายสิบคน หวั่นระบาดในท้องถิ่น
อเมริกาเหนือ-ยุโรป วิตกหนัก เจอผู้ป่วย "โรคฝีดาษลิง" หลายสิบคน ขณะ "สหรัฐ" ยืนยันพบผู้ติดเชื้อรายแรก ทำให้เกิดความกังวลว่า การระบาดของโรคในพื้นที่ส่วนต่างๆ ของแอฟริกา กำลังกระจายเป็นวงกว้างมากขึ้น
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศล่าสุด ที่ตรวจพบผู้ป่วย "โรคฝีดาษลิง" รายแรกของประเทศ เป็นผู้ป่วยชาย ในรัสแมสซาชูเซตส์ ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากแคนาดา ประเทศที่เพิ่งรายงานถึงการสอบสวนโรคผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นโรคนี้มากกว่า 12 คน โดยที่สเปน และ โปรตุเกส รายงานการพบผู้ป่วยโรคนี้ และต้องสงสัยว่าจะเป็นโรคมากกว่า 40 คน
ส่วนอังกฤษ ยืนยันการพบผู้ป่วย 9 ราย มาตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยผู้ป่วยรายแรก เป็นบุคคลที่เดินทางมาจากไนจีเรีย และรายต่อๆ มา มีความเป็นไปได้ว่า จะเกิดจากการติดเชื้อในชุมชน
ดร.ซูซาน ฮอปกินส์ หัวหน้าที่ปรึกษาทางการแพทย์ สำนักงานความมั่นคงสาธารณสุข สหราชอาณาจักร (UKHSA) ระบุว่า บรรดาผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงที่ตรวจพบล่าสุด ประกอบกับการรายงานพบผู้ป่วยหลายราย ในประเทศต่างๆ ทั่วยุโรป ตอกย้ำถึงความกังวลก่อนหน้านี้ที่ว่า กำลังเกิดการระบาดของโรคฝีดาษลิงในประเทศ
ต้องสงสัย "โรคฝีดาษลิง" ติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์
ขณะที่ องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่า การศึกษาถึงการติดเชื้อนี้ เบื้องต้นพบว่า ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ หรือ ในชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายด้วยกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องดำเนินการตรวจสอบอย่างเหมาะสมต่อไป เพื่อทำความเข้าใจถึงการระบาดในท้องถิ่น ทั้งในสหราชอาณาจักรและในบางประเทศ
องค์การอนามัยโลก เปิดเผยด้วยว่า กำลังประสานงานกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของอังกฤษและยุโรป เกี่ยวกับการระบาดของโรคฝีดาษลิง แม้ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะฟื้นตัวและหายในไม่กี่สัปดาห์ แต่โรคฝีดาษลิงระบาดในแอฟริกา และพบได้ยากในยุโรป รวมถึงอเมริกาเหนือ
อย่างไรก็ตาม ยูเคเอชเอสเอ ตั้งข้อสังเกตว่า ไม่เคยมีการระบุว่า โรคฝีดาษลิง เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาก่อน มีแต่เน้นว่า โรคนี้สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสโดยตรงระหว่างการมีเพศสัมพันธ์
ทั้งนี้ โรคฝีดาษลิง หรือ ไข้ทรพิษลิง เกิดจากเชื้อไวรัสที่พบในสัตว์ตระกูลลิง และสัตว์ฟันแทะ มีโอกาสติดต่อสู่คนแต่น้อยมาก ผ่านการสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งของสัตว์ที่เป็นโรค ลักษณะอาการคล้ายไข้ทรพิษ แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า และมีน้อยรายมากที่จะเกิดอาการป่วยหนัก โดยผู้ป่วยที่ติดเชื้อนี้มีโอกาสเสียชีวิตราว 1%-10%