สาวกลับไทยในรอบ 2 ปี เจอศุลกากรรื้อกระเป๋าเช็กของแบรนด์เนม เก็บภาษีครึ่งแสน
สาวบินกลับไทยในรอบ 2 ปี เจอกรมศุลกากรสุวรรณภูมิเรียกค้นกระเป๋าเดินทางทั้งตัวเองและแฟนชาวต่างชาติ เช็กของแบรนด์เนม สุดท้ายเรียกเก็บภาษีกว่าครึ่งแสน
ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ชื่อว่า Pang Ban ได้โพสต์ข้อความแชร์ประสบการณ์หลังเดินทางกลับไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี โดยเดินทางมากับแฟนชาวต่างชาติ ขณะผ่านด่านศุลกากรที่สนามบินสุวรรณภูมิ ถูกเจ้าหน้าที่เข้ามาดึงและบอกให้เธอกับแฟนเอากระเป๋าไปสแกน จากนั้นเรียกให้เข้าไปในห้องตรวจค้น ก่อนจะเรียกเก็บภาษีของแบรนด์เนมทั้งเครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้าหรู กว่าครึ่งแสน
โดย ผู้โพสต์ ระบุว่า "กรมศุลกากร สุวรรณภูมิ ตอนแรกว่าจะไม่พิมพ์แต่ว่ามีคนถามเข้ามาเยอะมาก และเราไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดกับคนอื่น เพราะมันแย่มาก เมื่อวานเป็นวันแรกที่กลับเข้าไทย ในรอบ 2 ปี ที่เหนื่อยมา
ลงเครื่องเวลาประมาณ 13.30 ไทย เดินลงมาตรวจ QR code ปกติ และผ่านด่านเข้าเมืองจนมาหยิบกระเป๋า ก็ปกติไม่มีอะไร เมื่อวานคนเยอะมากมีทั้งคนไทย และนักท่องเที่ยวมากพอสมควร พอหยิบกระเป๋าเสร็จเดินมาที่กรมศุลกากร แฟนเข็นรถที่มีกระเป๋า ลาก 3 ใบ ส่วนเราเข็นรถมามีแต่กระเป๋าถือ 2 ใบ
ระหว่างที่กำลังจะเดินผ่านไม่ทันไร มีคนมาดึงเราทันที ทั้งแฟนและเรา เขาบอกให้เอากระเป๋าสแกนให้หมด เรากับแฟนนำกระเป๋าให้เขาสแกน จากนั้นเขาก็เรียกเรากับแฟน เข้าห้องทันที มีเจ้าหน้าที่พาเข้าห้องหลังจากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่เข้ามากัน ประมาณ 8-9 คน แฟนกับเราตกใจมาก ทำไมต้องมากันเยอะขนาดนี้
พวกเจ้าหน้าที่ เริ่มเปิดค้นกระเป๋าทีละใบอย่างละเอียด เน้นว่า! อย่างละเอียด พวกของกินเขาไม่ยุ่งเลย ไม่ว่าจะเป็นพวกวิตามิน หรือของฝาก โสม เจ้าหน้าที่ดูแล้วผ่านๆ ไม่ถามอะไรมาก แต่ … ชิ้นไหนที่เป็นแบรนด์เนมจะเอามาแยกโต๊ะทันที ในห้องนั้นมี 2 โต๊ะ อารมณ์เป็นห้องตรวจค้น"
หญิงสาว ยังโพสต์เพิ่มเติมในคอมเมนต์อีกว่า ต่อมามีเจ้าหน้าที่เข้ามา 8-9 คน เปิดค้นกระเป๋าทีละใบอย่างละเอียด ก่อนจะแยกไปเฉพาะของแบรนด์เนม ทั้ง เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า หมวก แว่นตากันแดด แว่นสายตา กระเป๋าตังค์ กางเกง แต่ที่ตกใจที่สุดคือบอกให้ถอดเครื่องประดับที่สวมใส่ ทั้ง กำไล สร้อยคอ ต่างหูด้วย แหวน ก่อนจะพาเข้าอีกห้องเพื่อค้นร่างกาย ทั้งเธอกับแฟน โดยไม่ให้บันทึกภาพอะไรทั้งนั้น
เจ้าหน้าที่ทำการตรวจว่าของแต่ละชิ้นมีมูลค่าเท่าไหร่ โดยไม่สนว่าชิ้นนั้นใช้แล้วหรือไม่ เธออธิบายว่าของทุกชิ้นใช้แล้ว และมีหลักฐานยืนยัน ยกเว้น รองเท้า 2 คู่ 1 คู่เพิ่งซื้อที่ดิวตี้ฟรีเกาหลีใต้ ซึ่งแฟนเป็นคนซื้อมาฝากน้องสาวซึ่งมีหลักฐานการคุย อีกคู่ของใหม่แต่ทำส้นแล้ว จะเอามาใช้ที่ไทย มีหลักฐานการใช้ แม้กระทั่งเสื้อผ้า มีการซักแห้งมาแล้ว มีกลิ่นน้ำยาหมด กางเกง Gucci ของแฟนซึ่งใส่กล่องมา ก็มีหลักฐานว่าใส่แล้ว เธอบอกไปว่าไม่เชื่อก็ลองดม ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่หนึ่งคนดมจริงๆ
สักพักหนึ่งเจ้าหน้าที่อีกคนเดินมาบอกว่า ของที่อยู่ตรงนี้ทั้งหมดจะถูกยึด เธอตกใจมากจึงถามไปว่าทำอะไรผิด ใช้ของแบรด์เนมไม่ได้เลยหรือ เจ้าหน้าที่บอกว่า ใช้ได้ แต่ต้องเสียภาษี คุณไม่ทราบหรือว่า ของติดตัวเข้าประเทศได้ทั้งหมดไม่เกิน 20,000 บาท
เธอจึงบอกว่า มาในฐานะนักท่องเที่ยวและก็ไม่ค่อยได้อยู่ที่ไทย มาครั้งนี้ของทุกชิ้นก็จะกลับเอากลับไปเหมือนเดิม ซ้ำแฟนของเธอเป็นชาวต่างชาติทำไมต้องเสียภาษีให้ แต่เจ้าหน้าที่ยืนกรานว่าถ้าไม่จ่ายจะยึดของ และจะขึ้นแบล็กลิสต์ไม่ให้เข้าประเทศได้อีก เธอก็ยังไม่ยอม และได้ทำการปรึกษาทางพี่ๆ เพราะดูแล้วเหตุการณ์แบบนี้ไม่สมควรที่จะเกิดขึ้น
ทางเจ้าหน้าที่อีกคนบอกว่า ถ้าชิ้นไหนมีหลักฐานการใช้แล้วจะยอมปล่อยไป แต่ถ้าชิ้นไหนไม่มีหลักฐานจะถูกคิดภาษี ปรากฏว่ากระเป๋า Chanel เพิ่งเอามาใช้ กับ รองเท้าอีก 2 คู่ และเสื้อคลุม Gucci เพิ่งใช้ไปไม่มีรูปถ่ายมาก่อนจึงโดนภาษีไป เกือบ 7 หมื่นบาท และยืนยันจะเก็บภาษีกับแฟนของเธอค่ารองเท้า ซึ่งแฟนเธอไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน
โดยอัตราการคิดภาษี กระเป๋า 20 เปอร์เซ็นต์ (+vat 7 เปอร์เซ็นต์) รวม 27 เปอร์เซ็นต์ ส่วนรองเท้าและเสื้อผ้า 30 เปอร์เซ็นต์ (+vat 7 เปอร์เซ็นต์) = 37 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเธอก็ไม่ยอม จึงยืนรอจนเวลาผ่านไปกว่า 3 ชั่วโมง มีเจ้าหน้าที่อีกกลุ่มมาลดหย่อนให้จนเหลือ 54,000 บาท
"ต่อไปนี้ใครจะใส่แบรนด์เนมต้องระวัง เพราะเขาคงจะจ้องคุณตั้งแต่ลงเครื่องแล้ว หลักฐานต้องมี ต้องแน่น มีการมาบอกเราด้วย พี่จับมากี่หลายราย พี่รู้ทุกแบรนด์ ดิฉันไม่ใช่แม่ค้า ดิฉันใช้เอง ไม่คิดจะปกปิดอะไรทั้งนั้น และที่สำคัญ คุณไม่มีสิทธิ์มาคิดภาษีกับชาวต่างชาติ มันเสียความรู้สึกมาก
หากกฏข้อไหนที่บอกให้ชาวต่างชาติห้ามนำแบรนด์เนมเข้าประเทศ รบกวนช่วยแจ้งทีค่ะ เพราะที่ประเทศเกาหลีเขาไม่ทำแบบนี้ หากคุณซื้อของดิวตี้ฟรีไทยแล้วมาเที่ยวเกาหลีคุณไม่อยากเสียภาษีเอาของเข้าประเทศ ก็ให้ฝากที่สนามบินอินชอน ขากลับคุณค่อยไปเบิกเอา โดยมีค่าฝากเท่านั้น" หญิงสาวระบุทิ้งท้าย
ทั้งนี้ โพสต์ดังกล่าวมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมาย บางรายมาแชร์ประสบการณ์ ขณะที่ชาวเน็ตบางส่วนก็แนะนำว่า หากจะหลีกเลี่ยงที่จะโดนแบบนี้ก็ควรสำแดงขาออกจากประเทศต้นทางเพื่อเป็นหลักฐานเพื่อป้องกันไว้ หรือให้เอาของฝากไว้ที่ศุลกากร (Customs Bond) แล้วรับกลับตอนออกจากประเทศ