สรุปคดีความหยุดโลก “จอห์นนี เดปป์ vs แอมเบอร์ เฮิร์ด”

สรุปคดีความหยุดโลก “จอห์นนี เดปป์ vs แอมเบอร์ เฮิร์ด”

สรุปคดีความหยุดโลก “จอห์นนี เดปป์ vs แอมเบอร์ เฮิร์ด”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จบลงไปแล้วกับการพิจารณาคดีใหญ่ที่คนทั่วโลกต่างจับตามอง จากกรณีที่ “จอห์นนี่ เดปป์” ฟ้องร้อง “แอมเบอร์ เฮิร์ด” ในคดีหมิ่นประมาท หลังจากมีการต่อสู้คดีระหว่างทั้งคู่ในประเด็นเรื่องความรุนแรงในครอบครัวมาแล้วก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม การพิจารณาคดีในครั้งล่าสุดก็กลายเป็นสมรภูมิการต่อสู้ที่ดุเดือด แต่ละฝ่ายก็อ้างว่าตัวเองเป็นเหยื่อของความรุนแรงในครอบครัว และได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าว มีการนำหลักฐานทั้งภาพถ่าย วิดีโอ คลิปเสียง และพยานบุคคลจากทั้งสองฝ่ายมาแสดงในชั้นศาล เพื่อยืนยันว่าตัวเองเป็นคนที่ถูกทำร้าย การพิจารณาคดีอื้อฉาวดังกล่าวกินเวลานานถึง 6 สัปดาห์ ซึ่ง Sanook ได้สรุปเหตุการณ์ทั้งหมดมาให้แล้ว ณ ที่นี้

ความจริงฝั่งเดปป์

ความจริงฝั่งเฮิร์ด

เดปป์ฟ้องร้องเฮิร์ดในข้อหาหมิ่นประมาท เรียกเงินจำนวน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยอ้างว่าบทความ op-ed ที่เฮิร์ดเขียน ทำให้ชีวิตของเขาพังทลาย ทั้งยังส่งผลกระทบต่องานแสดงและรายได้ของเขา

เฮิร์ดฟ้องกลับเดปป์ในข้อหาหมิ่นประมาท เรียกเงินจำนวน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ระบุว่าคำแถลงการณ์ของทนายความของเดปป์ ว่าเธอโกหกเรื่องการถูกทำร้าย ทำให้เธอไม่มีงานและถูกลดบทบาทจากภาพยนตร์ Aquaman2 

เดปป์อ้างว่า เฮิร์ดเป็นฝ่ายทำร้ายร่างกายและจิตใจของเขาอยู่เสมอ โดยพิสูจน์ด้วยการเอาหลักฐานภาพถ่าย คลิปวิดีโอ คลิปเสียง และพยานบุคคลมาแสดงในชั้นศาล 

เฮิร์ดกล่าวหาว่าเดปป์ทำร้ายร่างกายและล่วงละเมิดทางเพศเธอ โดยเฉพาะเวลาที่เขาเมา พร้อมเบิกความพยานบุคคล รวมทั้งแสดงหลักฐานภาพถ่ายรอยแผลบนใบหน้าของเฮิร์ด

เดปป์กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในออสเตรเลีย ระบุว่า เฮิร์ดโกรธเรื่องข้อตกลงหลังแต่งงาน จึงโยนขวดวอดก้าใส่เขา ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บที่นิ้วมือข้างขวาง

เฮิร์ดให้การถึงเหตุการณ์นี้ว่าเดปป์ทำร้ายเธออย่างรุนแรง และล่วงละเมิดทางเพศเธอด้วยขวดวอดก้า พร้อมอ้างว่านิ้วมือที่บาดเจ็บของเดปป์ เกิดจากเดปป์ทุบโทรศัพท์กับผนัง

เดปป์ให้การว่า การ์ดของเขาห้ามไปที่เพนท์เฮ้าส์ในลอสแองเจลลิส เพราะมีอุจจาระคนอยู่บนเตียง 

เฮิร์ดอ้างว่าอุจจาระบนเตียงเป็นของสุนัข ไม่ใช่ของเธอแต่อย่างใด

ดร.แชนนอน เคอร์รี่ นักจิตวิทยานิติเวช ในฐานะทนายของเดปป์ ให้การว่า เฮิร์ดไม่ได้มีสัญญาณของโรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง (PTSD)

ดร.ดอว์น ฮิวจ์  นักจิตวิทยานิติเวชจากฝั่งเฮิร์ด ก็ขึ้นให้การว่าเฮิร์ดเป็นของโรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง (PTSD) ซึ่งเป็นผลมาจากความสัมพันธ์กับเดปป์

การพิจารณาคดีหมิ่นประมาท

จอห์นนี่ เดปป์ ได้ยื่นฟ้องแอมเบอร์ เฮิร์ด ใน​คดี “หมิ่นประมาท” เรียกเงินจำนวน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2019 หลังจากที่เธอเขียนบทความคิดเห็นพิเศษ​ (Opposite Editorial หรือ op-ed) ชื่อว่า “I spoke up against sexual violence - and faced our culture’s wrath. That has to change” ลงในหนังสือพิมพ์ The Washington Post เมื่อปี 2018 โดยเดปป์อ้างว่า บทความดังกล่าวทำให้ชีวิตของเขาพังทลาย รวมทั้งส่งผลกระทบต่องานการแสดงและรายได้ของเขาด้วย 

แม้ในบทความไม่ได้ดังกล่าวจะไม่มีการเอ่ยถึงชื่อของเดปป์ แต่เฮิร์ดก็ระบุในบทความว่า สองปีก่อนจะมีการเผยแพร่บทความนี้ เธอได้กลายเป็น “บุคคลสาธารณะผู้เป็นตัวแทนของการถูกทำร้ายในครอบครัว” ซึ่งในปี 2016 ก่อนที่เฮิร์ดจะเผยแพร่ op-ed นี้ เธอได้ยื่นขอคำสั่งห้ามคู่กรณีเข้าใกล้ (Temporary Restraining Order หรือ TRO) จากศาลแคลิฟอร์เนีย และระบุในคำร้องว่า เดปป์โยนโทรศัพท์ใส่หน้าของเธอ และทำร้ายเธออย่างต่อเนื่องตลอดช่วงเวลาที่คบหากัน 

อย่างไรก็ตาม การฟ้องร้องของเดปป์ที่ส่งให้กับศาลแฟร์ฟ็อกซ์ได้ระบุว่า แม้บทความของเฮิร์ดไม่ได้บอกว่าเป็นใคร แต่ก็ชัดเจนว่าเฮิร์ดจงใจที่จะสื่อถึงเดปป์ เช่นเดียวกับ Opinion Letter ของผู้พิพากษาระบุไปในทิศทางเดียวกัน

เฮิร์ดตอบโต้การฟ้องร้องของเดปป์ ด้วยการฟ้องกลับในคดีเดียวกัน ในปี 2020 โดยเรียกเงินจำนวน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ​ ทั้งนี้ การฟ้องกลับเดปป์ของเฮิร์ด ชี้ว่า การหมิ่นประมาทของเดปป์เกิดขึ้นผ่านอดัม วัลด์แมน ทนายความของเดปป์ ที่แถลงผ่านหนังสือพิมพ์ The Daily Mail ว่าเฮิร์ดสร้างเรื่องโกหกเรื่องการถูกทำร้ายร่างกาย เพื่อทำลายชื่อเสียงของเดปป์ ซึ่งเฮิร์ดก็อ้างว่าการกระทำดังกล่าวส่งผลให้เธอไม่มีงาน และถูกลดบทบาทในภาพยนตร์เรื่อง Aquaman 2 

การพิสูจน์หา “คนโกหก”

ทีมทนายความของเดปป์ระบุว่า เฮิร์ดเป็นฝ่ายที่ทำร้ายร่างกายและจิตใจของเดปป์อยู่เสมอ ซึ่งพวกเขาพยายามพิสูจน์ข้ออ้างดังกล่าว โดยการนำพยานบุคคลมากมายที่รู้จักทั้งเดปป์และเฮิร์ดขึ้นให้การ โดยทุกคนต่างระบุว่า ไม่เคยเห็นรอยแผลหรือร่องรอยการบาดเจ็บบนร่างกายของเฮิร์ด นอกจากนี้ ทีมทนายความของเดปป์ยังแสดงหลักฐาน ทั้งภาพถ่าย คลิปวิดีโอ และคลิปเสียงหลายชิ้นที่แสดงว่าเดปป์เป็นฝ่ายถูกทำร้าย และข้อกล่าวหาของเฮิร์ดเป็นเรื่องโกหก 

 ทางด้านเฮิร์ดก็กล่าวหาว่าเดปป์ทำร้ายร่างกายและล่วงละเมิดทางเพศเธอ ซึ่งมักจะเลวร้ายมากขึ้นเมื่อเดปป์ดื่มหนักและใช้ยาเสพติด โดยเฉพาะโคเคนกับยาอี (MDMA) ทีมทนายของเฮิร์ดได้เบิกความพยานบุคคลหลายคนมาให้การว่า พวกเขาเคยเห็นเดปป์มีอาการมึนเมา อย่างไรก็ตาม พยานบุคคลของเฮิร์ดก็ยอมรับว่าพวกเขาไม่เคยเห็นเดปป์ลงมือทำร้ายเฮิร์ด แต่เขาเคยเห็นว่าเดปป์มีอาการหึงหวงและโกรธในหลาย ๆ ครั้ง

 คำให้การของทั้งคู่เรื่องการใช้ความรุนแรงในครอบครัว

เดปป์ขึ้นให้การว่าไม่เคยทำร้ายเฮิร์ดหรือผู้หญิงคนไหนเลย และอ้างว่าเฮิร์ดคือคนที่ใช้ความรุนแรงในความสัมพันธ์ เธอมักจะโมโห ดูถูกเหยียดหยามเขา และมักจะบานปลายไปสู่การใช้ความรุนแรงทางร่างกาย เดปป์เล่าว่า เฮิร์ดเป็นคู่รักที่สมบูรณ์แบบในช่วงปีแรกของความสัมพันธ์ แต่หลังจากนั้นทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป พวกเขาเริ่มมีปากเสียงกันนานขึ้น อย่างไรก็ตาม เดปป์ก็ยอมรับว่าตัวเองมีปัญหาเรื่องการใช้แอลกอฮอล์และยาเสพติด ทั้งนี้ เดปป์ยังกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในออสเตรเลีย ในปี 2015 โดยระบุว่าเฮิร์ดโกรธเรื่องข้อตกลงหลังแต่งงาน และโยนขวดวอดก้าใส่เขา ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บที่นิ้วมือข้างขวา 

ด้านเฮิร์ดได้ขึ้นให้การว่า เดปป์เป็นคนขี้หึงหวงและชอบควบคุม เขามักสั่งให้เธอรับบทการแสดงที่ไม่มีฉากร่วมเพศหรือมีบทโรแมนติก และเดปป์มักจะทำร้ายเธอเวลาที่เมายาหรือเมาเหล้า ทั้งต่อยหน้า ทำร้ายจนปากแตกเลือดกบปาก ตบจนเธอเหมือนจะจมูกหัก และกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในออสเตรเลีย ว่าเดปป์ทำร้ายเธออย่างรุนแรงและล่วงละเมิดทางเพศเธอด้วยขวดวอดก้า หลังจากที่เขาเสพยา พร้อมระบุว่าเดปป์โกรธหลายเรื่อง รวมถึงเรื่องที่เขาสงสัยว่าเธอกำลังนอกใจเขากับเพื่อนนักแสดงชายของเธอ เหตุการณ์นี้ทำให้เดปป์ได้รับบาดเจ็บที่นิ้วมือ ซึ่งเฮิร์ดอ้างว่าเกิดจากตอนที่เดปป์ทุบโทรศัพท์กับผนัง 

อย่างไรก็ตาม ทนายความของเดปป์ก็ตั้งคำถามว่า หากเฮิร์ดถูกเดปป์ทำร้ายและล่วงละเมิดทางเพศ ทำไมจึงไม่มีหลักฐานการเข้ารับการรักษาจากแพทย์หรือมีภาพถ่ายหลักฐานที่แสดงให้เห็นใบหน้าที่มีรอยแผลของเธอ ซึ่งเฮิร์ดก็ให้การว่า เธอใช้การแต่งหน้าปกปิดรอยแผล รวมถึงใช้น้ำแข็งช่วยบรรเทาอาการบวม และการที่เธอไม่ไปหาหมอ หลังจากที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ก็เพราะไม่อยากบอกใคร

 ทนายความของเฮิร์ดก็ได้หยิบยกเอาข้อความที่เดปป์ส่งให้เพื่อนของเขาว่า “จะจับเธอกดน้ำและเอาไปเผา” และยังมีหลักฐานข้อความอื่น ๆ ที่เดปป์เรียกเฮิร์ดว่าปีศาจ ที่ทนายความของเฮิร์ดแสดงให้กับคณะลูกขุน ขณะที่เดปป์ก็ยอมรับว่าตอนนั้นเขากำลังเมา และรู้สึกอับอายที่เขียนข้อความแบบนั้น พร้อมอธิบายว่านั่นเป็นการพูดเล่นเท่านั้น 

ประเด็นอื่น ๆ จากการพิจารณคดี 

นอกจากการพิจารณาคดีในข้อหาหมิ่นประมาทแล้ว ในระหว่างการขึ้นให้การของทั้งสองฝ่ายก็มีหลายประเด็นที่น่าตกใจและกลายเป็นไวรัลไปทั่วโลกออนไลน์ ทั้งเรื่อง “อุจจาระบนเตียง” ที่เดปป์ให้การว่า เขาต้องการไปเก็บของที่เพนท์เฮ้าส์ในลอสแองเจลลิสหลังจากมีปากเสียงกับเฮิร์ด แต่การ์ดของเขาก็ระบุว่ายังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เดปป์จึงขอทราบเหตุผลและได้รับการแจ้งว่า มีอุจจาระคนอยู่บนเตียงของเดปป์ พร้อมส่งรูปมาให้ดู อย่างไรก็ตาม เฮิร์ดอ้างว่านั่นเป็นอุจจาระของสุนัข ไม่ใช่ของเธอแต่อย่างใด 

ในระหว่างการพิจารณาคดี ทนายความของเฮิร์ดได้แสดงหลักฐานเป็นเครื่องสำอาง แบรนด์ Milani ที่เฮิร์ดจำเป็นต้องพกติดตัวอยู่ตลอด ในช่วงที่เธอคบอยู่กับเดปป์ เพื่อปกปิดรอยแผลบนใบหน้าที่ถูกเดปป์ทำร้าย อย่างไรก็ตาม ทางแบรนด์ Milani ที่ถูกกล่าวถึงในชั้นศาล ก็ได้โพสต์คลิปบน TikTok ว่าเครื่องสำอางที่ทนายความฝั่งเฮิร์ดนำมาเป็นหลักฐาน ถูกวางจำหน่ายในปี 2017 แต่ช่วงที่เฮิร์ดกับเดปป์คบหากันคือ ระหว่างปี 2014 - 2016 ซึ่งประเด็นนี้ก็ทำให้ชาวเน็ตตั้งคำถามว่าเฮิร์ดลืมยี่ห้อเครื่องสำอางที่ใช้ หรือเธอกำลังโกหกเรื่องการถูกทำร้ายกันแน่ 

ดร.แชนนอน เคอร์รี่ นักจิตวิทยานิติเวช ซึ่งขึ้นให้การในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญของเดปป์ ก็ได้ให้การว่า จากการประเมินเอกสารและการตรวจแบบตัวต่อตัวกับเฮิร์ด ในระยะเวลา 12 ชั่วโมง เธอพบว่าเฮิร์ดป่วยเป็นโรคความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง (borderline personality disorder) และโรคบุคลิกภาพแบบฮิสทีเรีย (histrionic personality disorder) ซึ่งส่งผลให้เฮิร์ดอารมณ์ไม่คงที่และควบคุมตัวเองไม่ได้ พร้อมระบุว่าเฮิร์ดไม่ได้มีสัญญาณของโรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง (post-traumatic stress disorder หรือ PTSD) อย่างไรก็ตาม ดร.ดอว์น ฮิวจ์ นักจิตวิทยานิติเวชจากฝั่งเฮิร์ด ก็ขึ้นให้การว่าเฮิร์ดเป็นโรค PTSD ซึ่งเป็นผลมาจากความสัมพันธ์กับเดปป์ ซึ่งคำให้การของ ดร.ฮิวจ์แตกต่างไปจากคำให้การของ ดร.เคอร์รีอย่างชัดเจน 

อีกหนึ่งประเด็นที่กลายเป็น “มีม” มากมายในโลกโซเชียล คือประเด็นเรื่อง “เงินบริจาค” ที่เฮิร์ดให้สัมภาษณ์กับสื่อในช่วงปี 2018 ว่าเธอได้บริจาคเงินที่ได้รับจากการหย่าร้างจำนวน 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับองค์กรการกุศล 2 แห่ง แห่งละ 3.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้แก่ Amerivan Civil Liberties Union (ACLU) และโรงพยาบาลเด็กลอสแองเจลลิสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม ตัวแทนจาก ACLU ก็ได้ขึ้นให้การต่อศาลว่าทางองค์กรไม่เคยได้รับเงินจำนวนนั้นจากเฮิร์ด ด้านคามิล วาซเกส ทนายความฝั่งเดปป์ก็ได้หยิบประเด็นนี้มาไต่สวนเฮิร์ด ซึ่งเฮิร์ดก็ให้การว่า เธอใช้คำว่าบริจาค (donate) กับ สัญญาว่าจะบริจาค (pledge) ในความหมายเดียวกัน แต่เนื่องจากเธอโดนเดปป์ฟ้องร้องเสียก่อน เธอจึงยังไม่สามารถบริจาคเงินทั้งหมดให้กับองค์กรการกุศลเหล่านั้นได้

และอีกหนึ่งเซอร์ไพรส์ในการพิจารณาคดีของเดปป์และเฮิร์ดที่สร้างความตกใจให้กับคนที่ติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิด ก็คงหนีไม่พ้นการปรากฏตัวของเคท มอส ที่ร่วมเป็นพยานขึ้นให้การฝั่งเดปป์ หลังเฮิร์ดเอ่ยชื่อของเธอขณะขึ้นให้การว่า ระหว่างที่ทะเลาะกับเดปป์ วิทนีย์ เอนรี่เกซ น้องสาวแท้ ๆ ของเฮิร์ด ได้เข้ามาปกป้องเธอจากการถูกเดปป์ทำร้าย ระหว่างที่เธอหันหลังให้บันได เฮิร์ดก็นึกถึงเรื่องที่เคท มอส ถูกเดปป์ผลักตกบันได เธอจึงชกหน้าเขา โดยคำให้การของเคท มอส ระบุว่า เดปป์ไม่เคยผลัก เตะ หรือโยนเธอตกบันไดเลยสักครั้งไม่ว่าที่ไหนหรือเมื่อไร 

ท่าทีของชาวเน็ตและแฟนคลับในโซเชียล 

ตลอดระยะ 6 สัปดาห์ ของการพิจารณาคดี โซเชียลมีเดียก็ร้อนแรงไม่แพ้ในชั้นศาล โดยแฟนคลับของเดปป์ ซึ่งดูจะเป็นคนส่วนใหญ่ที่พูดถึงคดีดังกล่าว ได้ใช้โซเชียลมีเดียในการพูดคุยและติดตามการพิจารณาคดีอย่างใกล้ชิด และเกิดแฮชแท็กยอดนิยมอย่าง #JusticeforJohnnyDepp ทั้งบน TikTok และทวิตเตอร์ ทั้งนี้ เฮิร์ดเองก็มีแฮชแท็กที่ผู้สนับสนุนเธอสร้างขึ้น แต่กลับมีจำนวนผู้ใช้ที่น้อยกว่าแฮชแท็กของเดปป์อยู่มาก

แรงสนับสนุนเดปป์เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อการพิจารณาคดีดำเนินมาถึงวันสุดท้าย โดยผู้ใช้ทวิตเตอร์หลายคนระบุว่า พวกเขาเชื่อในหลักฐานของเดปป์มากกว่า และฝั่งเฮิร์ดก็ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนที่ระบุว่า เดปป์ได้ทำร้ายเธอเหมือนที่เธอกล่าวอ้าง อย่างไรก็ตาม ฝั่งผู้สนับสนุนเฮิร์ดก็ออกมาระบุว่า ทุกคนควรเชื่อ “เหยื่อของความรุนแรงในครอบครัว” และไม่จำเป็นต้องเชื่อในหลักฐาน เพราะการจะรวบรวมความกล้าออกมาบอกกับสาธารณชนว่าตัวเองถูกทำร้ายจากคนที่ตัวเองรักเป็นเรื่องที่ยากพอแล้ว 

เรียกได้ว่าในโซเชียลตอนนี้แบ่งเป็นฝั่ง #JohnnyDepp และ #AmberHeard อย่างชัดเจน และแฟน ๆ ต่างก็รอฟังคำตัดสินอย่างใจจดใจจ่อ โดยคณะลูกขุนต้องตัดสินว่าบทความ op-ed ของเฮิร์ดใน The Washington Post ที่พูดถึงเดปป์นั้นไม่เป็นความจริง และต้องพิสูจน์ “Actual Malice” หรือหลักกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิส่วนบุคคลของบุคคลสาธารณะตามกฎหมายสหรัฐฯ ที่นำมาใช้ในกรณีการกระทำทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการหมิ่นประมาท กล่าวคือ คณะลูกขุนต้องตัดสินว่าเฮิร์ดเขียนบทความ โดยรับรู้ว่าสิ่งที่เขียนไม่เป็นความจริง หรือ “เพิกเฉยต่อความเป็นจริงโดยประมาทเลินเล่อ”  ทั้งนี้ ระบบของศาลแฟร์ฟ็อกซ์จะใช้ลูกขุนทั้งหมด 7 คน ซึ่งลูกขุนทั้ง 7 คน ต้องลงความเห็นเป็น “เอกฉันท์” เพื่อจะสามารถมีคำตัดสินออกมาได้ 

สุดท้ายแล้วคำตัดสินจะเป็นอย่างไร เดปป์หรือเฮิร์ดจะได้รับชัยชนะจากคดีนี้ ก็คงต้องอดใจรอกันอีกนิด

อ่านบทสรุปของคดีดังได้ที่นี่: ชัยชนะของ “จอห์นนี่ เดปป์” หลังฟ้องหมิ่นประมาท “แอมเบอร์ เฮิร์ด”

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook