เปิดใจ "เจ๊มุกซักรีด" ผู้สะสมความภูมิใจในทุกก้าวที่ออกวิ่งมาราธอน (มีคลิป)

เปิดใจ "เจ๊มุกซักรีด" ผู้สะสมความภูมิใจในทุกก้าวที่ออกวิ่งมาราธอน (มีคลิป)

เปิดใจ "เจ๊มุกซักรีด" ผู้สะสมความภูมิใจในทุกก้าวที่ออกวิ่งมาราธอน (มีคลิป)
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในเดือนมิถุนายน เดือนแห่งความภูมิใจของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ (Pride Month) ตัวอย่างหนึ่งของคนที่ก้าวข้ามการเลือกปฏิบัติ และการดูถูกในความแตกต่างทางเพศ กลับกัน เธอฝึกฝนฝีเท้าจนได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในวงการวิ่งมาราธอน นั่นคือ "เจ๊มุก ซักรีด" หรือ สวัสดิ์ กันยา ที่มีงานหลักเป็นการรับจ้างซักอบรีด และงานอดิเรกคือวิ่งมาราธอนและวิ่งเทรลตามรายการดังต่างๆ ทั่วประเทศ

เจ๊มุก ในวัย 58 ปี เธอเป็นเจ้าของสถิติวิ่ง Full Marathon 42.19 กิโลเมตร ด้วยเวลา 4 ชั่วโมง 43 นาที,  Half Marathon 21.1 กิโลเมตร ด้วยเวลา 1 ชั่วโมง 43 นาที และวิ่งเทรล 35 กิโลเมตร ด้วยเวลา 5 ชั่วโมง 12 นาที แม้จะทำเวลาได้ค่อนข้างดี แต่เจ้าตัวย้ำกับทีมข่าว Sanook News ว่าเธอเป็นแค่นักวิ่งที่วิ่งเอาสนุก หรือสนุกที่ได้วิ่งเท่านั้น

ประสบการณ์ถูกบุลลี่ตั้งแต่เด็กจนถึงลู่วิ่ง

เจ๊มุกเล่าว่าตั้งแต่เด็ก ด้วยความที่มีลักษณะเรียบร้อย และตุ้งติ้ง ก็จะถูกเพื่อนล้อ แล้วตัวเองก็จะไปฟ้องครู แต่กลับถูกเพื่อนยิ่งพากันล้อว่าเป็น "กะเทยขี้ฟ้อง" จนกลับมาคิดได้ว่าไม่ว่าใครๆ ก็จะถูกล้อ ทั้งตัวเอง เพื่อนผู้หญิง หรือเพื่อนผู้ชายที่มาล้อตัวเองก็ถูกคนอื่นล้ออีกที่ว่าคิดเลขไม่เป็น เป็นต้น ซึ่งทำให้เธอตกตะกอนว่า การบุลลี่เกิดขึ้นได้กับทุกคนรอบตัว ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือการจัดการกับความรู้สึกตัวเอง

ทุกวันนี้ก็ยังมีคนล้อว่า "กะเทยแก่" เจ๊มุกบอกว่า ด้วยลุคที่ประหลาดๆ ดูเหมือนจะบ้าก็ไม่ใช่ จะเพี้ยนก็ไม่เชิง ทำให้เมื่อก่อนเวลาไปซ้อมวิ่งในสวนสาธารณะ คนก็จะหัวเราะ และล้อเลียนท่าทาง แต่ตัวเองไม่สนใจ เพราะตอนนั้นคิดถึงแต่เป้าหมายว่าจะต้องซ้อมจนวิ่งได้วิ่งเป็น และถ้ารูปลักษณ์ท่าทางของเธอจะทำให้คนอื่นที่เห็นมีความสุขหรือยิ้มได้ก็เอาไปเถอะ

"บางทีเราก็บึนปากใส่ เชิ่ดใส่ไม่แคร์อะไรอย่างนี้ เพราะเป้าหมายของเราคืออย่างน้อยที่สุดเราต้องวิ่งได้วิ่งเป็นก่อน เราไม่ได้อยากเอาชนะใครนะ เพราะฉะนั้นเธอจะล้อก็ล้อไปสิ ฉันไม่ได้ยินหรอก...ถ้ามันทำให้เธอมีความสุขเธอก็ทำไป ถ้าอย่างน้อยที่สุด ลุคของฉัน รูปลักษณ์ของฉันมันก็ทำให้เธอแบบ ช่วง 5 วินาที 10 วินาที เธอยิ้มได้ก็โอเค เอาไปเหอะ" เจ๊มุกกล่าว

ตรงกันข้าม นักวิ่งด้วยกันไม่ล้อเธอ เจ๊มุก เล่าว่า คนที่เป็นนักวิ่งจริงๆ เขาก็จะตั้งใจและโฟกัสกับการวิ่ง ส่วนเรื่องห้องน้ำ เจ๊มุก บอกว่า เนื่องจากตัวเองไม่ได้แปลงเพศ และยังมีเพศสภาพเป็น "ตุ๊ด" ที่ยังมีทุกอย่างเหมือนผู้ชาย ก็เลยสะดวกใจที่จะยืนฉี่ในห้องน้ำชาย และไม่ได้อาย เธอเล่าประสบการณ์ว่า ครั้งหนึ่งเคยไปงานวิ่งเจอกับ Elite Runner จากประเทศเคนย่า เธอก็ไปเขาไปเจอพวกเขาด้วยความดีใจ แต่พอช่วงใกล้เวลาปล่อยตัวนักวิ่ง เธอก็เข้าไปปัสสาวะในห้องน้ำชาย ด้วยชุดและหน้าที่แต่งมาเบอร์เต็ม สร้างความประหลาดใจให้กับนักวิ่งพวกนั้นกลับไปแทน เจ๊มุกเล่าไปขำไป เพราะเธอย้ำว่าไม่ได้คิดว่าตัวเองแปลกจากคนปกติ 

ส่วนเรื่องวัยยิ่งไม่มีการเลือกปฏิบัติ เพราะคนในวัย 50 ปีขึ้นไป ที่เข้ามาวิ่งส่วนใหญ่ก็จะมีร่างกายฟิต และวิ่งได้เวลาที่ดี เพราะเป็นวัยเกษียณที่มีเวลาฝึกซ้อม แถมยังได้เจอเพื่อน มีสังคมใหม่ๆ งานวิ่งถือเป็นกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัยอย่างเธอมาก

จากจุดต่างเป็นจุดขาย เพราะทุ่มเทซ้อมจนเป็นที่ยอมรับ

เมื่อถามว่าทุกวันนี้เป็นที่ยอมรับแล้วหรือไม่? เจ๊มุกตอบว่าจะเรียกว่ายอมรับหรือเปล่าไม่รู้ แต่เวลาไปงานวิ่งโดยเฉพาะต่างจังหวัดก็จะมีคนเข้ามาทักทายและขอถ่ายรูป ซึ่งเธอเองก็ต้องเสิร์ฟอารมณ์กับคนที่เข้ามาทัก เป็นเหมือนเด็กเอ็นฯ งานวิ่ง เธอเล่าติดตลก ซึ่งเธอพูดต่อว่าเรื่องความแปลกที่กลายเป็นจุดขาย อย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ต้องมาจาก Performance ที่ดีด้วย และสิ่งนี้คือต้องซ้อม เวลาเห็นนักวิ่งทีมชาติที่มีตารางซ้อมเยอะๆ และฝีเท้าดีๆ ตัวเองก็อยากทำได้บ้าง เหมือนเป็นการลงทุน คือหวังผลสูงก็ต้องทุ่มเทมาก

หนึ่งวัน เจ๊มุกจะซ้อมประมาณ 2 ชั่วโมง ทั้ง Easy Run, Long Run, Tempo, Interval, Weight Training เพื่อเอากล้ามเนื้อมาใช้ตอนวิ่ง เพราะตอนเริ่มต้นเธอเริ่มตอนอายุ 52 ปี ซึ่งค่อนข้างเยอะ และไม่มีกล้ามเนื้อมาก่อน เธอบอกว่า กะเทยมักจะร่างกายอ่อนแอ เพราะไม่กล้าออกกำลังกายให้กล้ามขึ้น มีเส้นเอ็นขึ้นแขนขา เพราะจะไม่เนียนนี เหมือนผู้หญิง แต่ตอนนี้เป้าหมายคือการวิ่ง จะมีเส้นเลือดหรือกล้ามเธอก็ไม่กลัว จนมีคนทักว่าเธอเป็นนักมวย แต่เธอก็ไม่สนใจ แถมยังภูมิใจมที่บางคนบอกอิจฉาน่องของเธอ เพราะน่องเธอสวย เป็นน่องจากการฝึกฝนทุกวัน

ความภูมิใจสร้างขึ้นจากความสำเร็จทีละเล็กน้อยจนไม่ได้ยินเสียงบุลลี่

เมื่อถามว่าแล้วความภูมิใจของเธอคืออะไร? เจ๊มุกบอกว่า มันคือการจัดสรรเวลาในแต่ละวันที่จะทำงานและมาซ้อม แล้วเวลาเราซ้อมเราก็จะพบว่าเราแข็งแรงขึ้นทุกวัน ซึ่งเป็นความภูมิใจทีละเล็กละน้อยที่เราสร้างขึ้นเอง พอทำได้ไปเรื่อยๆ หูมันก็จะไม่ได้ยินเสียงบุลลี่ไปเอง

"มีความสุข ภูมิใจเล็กๆ น้อยๆ ทุกวัน เช่น วันนี้ฉันอยากลงคอร์ดประมาณ 200 เมตร 10 เซ็ต อะไรอย่างนี้ แล้วพอเราทำ 10 เซ็ต ไปปุ๊บ เรามีความรู้สึกว่าเราไม่เหนื่อย เออ เราแบบ เห้ย ฉันแข็งแรงขึ้นอีกแล้วนะ...ลองไปวิ่งดูวันหนึ่ง 3 กิโลเมตรๆ ทุกวันๆ แล้วพอเธอทำได้จาก 3 กิโลเมตร เป็น 5 กิโลเมตร แล้วความรู้สึกแบบว่าสุขใจเล็กๆน้อยๆ ภูมิใจที่ตัวเองทำได้เรื่อยๆ นั่นแหละเดี๋ยวเธอจะรู้สึกเอง มันก็เลยไม่ได้ยินเสียงบุลลี่" เจ๊มุกกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ขณะเดียวกัน ถ้าคนข้างนอกมองเข้ามา ตั้งคำถามกับตัวเรา มันก็เรื่องของเขา มันก็ไม่ใช่เรื่องของเรา เพราะตอนนั้นเราต้องโฟกัสกับการหายใจ เนื่องจากการหายใจกับการวิ่งแต่ละระยะไม่เหมือนกัน การได้ฝึกหายใจ ได้อยู่กับตัวเอง ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ฟังเสียงเท้าแต่ละก้าวๆ สัมพันธ์กับลมหายใจ มันเหมือนว่าเราได้ฝึกตัวเองอยู่ตลอดเวลา ได้ขัดเกลาตัวเอง ไม่ใช่แก่แล้วก็แก่เลย อีกอย่างคือการวิ่งทำให้สุขภาพดี เธอมีเป้าหมายคือทำให้ร่างกายแข็งแรง มีแรงวิ่งไปเรื่อยๆ แค่นั้น

สุดท้าย เจ๊มุกกล่าวว่า ประโยคบางประโยค คำพูดบางคำพูด อย่างเรามันจะดูธรรมดา เพราะเราก็ผ่านมากี่เบอร์แล้วก็ไม่รู้ แต่คนอีกคนหนึ่ง เราไม่รู้ว่าเขาเจออะไรมา คำพูดอาจจะไม่กระทบกระเทือนจิตใจ บางทีมันจุกจนทำให้เขาดำดิ่ง แต่ในเมื่อเราหาทางที่จะไม่ถูกโดนทำร้ายจิตใจเหล่านั้นไม่ได้ เราก็หาวิธีอะไรก็ได้ที่จะหันมารักตัวเอง หาวิธีอะไรก็ได้ที่ตัวเองชอบ "ลองทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ แล้วรู้สึกภูมิใจกับมันสิ แล้วเธอก็จะได้ยินแต่เสียงหัวใจตัวเองมากกว่าที่เธอจะเอาหูหรือตาของเธอไปฟังใครมาบั่นทอนเธอ" 

อัลบั้มภาพ 2 ภาพ

อัลบั้มภาพ 2 ภาพ ของ เปิดใจ "เจ๊มุกซักรีด" ผู้สะสมความภูมิใจในทุกก้าวที่ออกวิ่งมาราธอน (มีคลิป)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook