แม่ลูกผูกพัน "แม่เปี๊ยก อรัญญา-ลูกอีฟ พุทธธิดา" รักนะแต่(ต้อง)ไม่แสดงออกกับเหตุผลน่ารัก
ไม่ใช่แค่ผูกพันในฐานะแม่ลูก เพราะสำหรับสองสาวจากบ้านศิระฉายา ยังมีความสนิทสนมใกล้ชิดกันจนสามารถเป็นทั้ง แม่ เพื่อน พี่สาว น้องสาว ได้ในเวลาเดียวกัน
เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติประจำปี พ.ศ.2565 ทีมข่าวบันเทิง Sanook.com ได้มีโอกาสพูดคุยแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับนางเอกระกับตำนานของเมืองไทย อาเปี๊ยก-อรัญญา นามวงศ์ และลูกสาวสุดรักสุดหวง อีฟ พุทธธิดา ถึงเรื่องราวในชีวิต ทั้งจากมุมมองของคนเป็นแม่และมุมมองของคนที่เป็นลูก ว่าที่ผ่านมามีเรื่องราวไหนบ้างที่ยังคงจดจำได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นคำสอน วิธีแสดงความรัก ไปจนถึงเรื่องที่ชวนให้หัวเราะเมื่อนึกถึง
นอกจากนั้นแล้ว อีฟ พุทธธิดา ที่ปัจจุบันนี้ได้เปลี่ยนสถานะจากลูกสาว มาเป็นคุณแม่ของ น้องมีบุญ ลูกชายวัยกำลังซน ตัวเธอเองได้นำเอาเทคนิคเคล็ดลับและวิธีการเลี้ยงดูของคุณแม่มาปรับใช้กับบทบาทของตัวเองอย่างไรบ้าง ซึ่งทั้งหมดนี้ทั้งสองสาวแห่งบ้านศิระฉายา ได้เล่าให้เราฟังว่า
ถ้าให้นิยามความเป็นแม่ลูกของเราสองคน อีฟ และ อาเปี๊ยก คิดว่าเป็นแม่ลูกสไตล์ไหน ?
อีฟ : “เราสองคนเป็นแม่ลูกที่มีความเป็นสายหวานไหม ไม่มีนะคะ บ้านเราไม่ค่อยหวาน แต่ถ้าถามว่าความผูกพันระหว่างแม่ลูกของเราสองคนเป็นอย่างไรบ้าง อิฟคิดว่าเราสองคนจะอยู่ด้วยกันตลอดค่ะ (ยิ้ม) ก็คือตอนที่คุณแม่มีอีฟ แม่เลือกหยุดที่จะรับงานทุกอย่าง เป็นช่วงที่คุณแม่ไม่รับงานเลยจริงๆ คือเปลี่ยนอาชีพจากเดิมที่เป็นนักแสดง ณ เวลานั้นคุณแม่มีอาชีพเป็นแม่บ้านอย่างเดียว ซึ่งตอนเด็กๆ อีฟก็เคยถามคุณแม่นะคะว่า ‘คุณแม่ทำอาชีพอะไร’ แม่ก็บอกว่า ‘แม่บ้าน’ ไม่มีงานทำเลย (หัวเราะ) คุณแม่ทำอาชีพแม่บ้านเกือบ 10 ปี ประมาณ 8 ปี จากนั้นท่านถึงได้กลับไปทำงานอีกครั้ง”
อาเปี๊ยก : “10 กว่าปี 13 ปี นั่นแหละ”
อีฟ : “ใช่เหรอ”
อาเปี๊ยก : “ใช่ อย่ามาเถียงสิ”
อีฟ : “นี่แหละค่ะคือความผูกพันแบบแม่ลูกของเรา (หัวเราะ)”
แสดงว่าระหว่าง 13 ปี ในตอนนั้น อาเปี๊ยก ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบดาราเวลาที่อยู่กับ อีฟ เลย ?
อีฟ : “ไม่มีค่ะ ไม่มีเลย 13 ปี โดยประมาณ น่าจะเป็นช่วงที่อีฟเริ่มเข้าเรียนชั้นมัธยม 1”
อาเปี๊ยก : “แต่ถ้าถามว่าแม่คิดถึงงานแสดงในช่วงนั้นบ้างไหม เอ่อ…ก็เฉยๆ นะ ถึงแม้ว่าจะมีผู้ใหญ่ รวมถึงน้องๆ ผู้จัดมาตื้อให้กลับไปรับละครแม่ก็คิดว่ายังไม่อยากไป ชอบอยู่แบบนี้”
อีฟ ทราบตอนไหนว่าคุณแม่ของเราเป็นนางเอกชื่อดังคนหนึ่งของยุค ?
อีฟ : วันแรกที่แม่กลับไปทำงานค่ะ เพราะวันนั้นอีฟไปอยู่ในกองถ่ายด้วย และก็ได้เห็นว่าแม่เราเล่นละครได้จริงๆ จากนั้นถึงค่อยๆ ทราบว่าคุณแม่เป็นนางเอกหนัง ทุกอย่างอีฟมารู้ตอนที่โตแล้วหมดเลย รวมถึงเรื่องที่คุณแม่ไว้ผมสั้น ก็คือตอนที่อีฟเด็กๆ คุณแม่ท่านตัดผมสั้น อีฟก็เลยบอกกับคนอื่นว่าคุณแม่ไม่สวย เพราะว่าแม่คนอื่นเขาผมยาวกันหมด ขณะที่คนอื่นๆ ก็พยายามบอกอีฟว่า แม่เราสวยนะ แต่อีฟก็ยังยืนยันว่าไม่สวยเพราะผมสั้น จนกระทั่งได้มาเห็นในหนังเก่าๆ ของคุณแม่ว่าคุณแม่ผมสวย แต่ท่านไม่ยอมไว้ผมยาวเอง (ยิ้ม)”
อาเปี๊ยกเป็นคุณแม่ที่เสียสละทุกอย่างเพื่อลูกมากๆ เลย ?
อีฟ : “คุณแม่เคยอธิบายให้อีฟฟังว่า ‘เมื่อเขาเป็นแม่ เขาก็จะต้องทำหน้าที่นี้ให้เต็มที่ และทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด’ ซึ่งจริงๆ แล้วการเสียสละของแม่เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากเลยนะคะ เพราะนี่มันคือความเป็นตัวเองของท่าน ทุกอย่างที่ทำมาสร้างมา ไม่ว่าจะเป็น ชื่อเสียง ความสำเร็จ รวมถึงเงินทอง เพื่อที่จะได้มาทำอีกอาชีพหนึ่งให้ดีที่สุด ดังนั้นต้องถามคุณแม่ค่ะว่า ‘คุณแม่เสียใจไหมที่เสียสละความเป็นตัวเองในตอนนั้นไป’ แต่ท่านก็จะบอกกับอีฟเสมอว่า เมื่อท่านตัดสินใจที่จะเป็นแม่แล้ว ท่านก็จะขอทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุด”
อาเปี๊ยก : “แม่โชคดีที่เขาไม่เป็นเด็กงอแง เลี้ยงง่าย เข้าใจง่าย สอนอะไรก็ได้ไม่ดื้อ แต่ถามว่าซนไหม ก็ซนนะ (ยิ้ม)”
ในสายตา อาเปี๊ยก คิดว่า อีฟ มีมุมไหนบ้างที่เหมือนกัน ?
อาเปี๊ยก : “เหมือนเยอะเลยค่ะ อย่างเช่นนิสัยแบบ มีเพื่อนเยอะ คบคนเยอะ อันนี้ค่อนข้างคล้ายกัน แต่หลักๆ แล้วจะเหมือนคุณพ่อครึ่งหนึ่งคุณแม่ครึ่งหนึ่งซะมากกว่า เรื่องที่เหมือนคุณพ่อเขาก็จะเป็นเรื่องของความคิด เขาเป็นเด็กที่ฉลาดตอบ”
อีฟ มองคุณแม่เป็นไอดอลในด้านในบ้าง นอกจากการที่ท่านเป็นคุณแม่ของเราแล้ว ?
อีฟ : “ถ้าในเรื่องของงานแสดงหรือการทำงาน อีฟยังถือว่าได้สัมผัสกับคุณแม่ค่อนข้างน้อย เพราะว่าคนอื่นได้ทำงานกับคุณแม่มากกว่าอีฟ แต่ถ้าจะให้พูดถึงเรื่องที่อีฟมองว่าท่านเป็นไอดอลจริงๆ มันก็ต้องเป็นเรื่องของการเป็นแม่นี่แหละค่ะ เนื่องจากตอนเด็กๆ อีฟไม่ได้มีพี่เลี้ยง อีฟมีแค่คุณแม่คอยเลี้ยงอีฟแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ อีฟอยู่กับแม่มากที่สุด มากจนไม่รู้เลยว่าคุณแม่จริงๆ แล้วมีอาชีพเป็นดารา ดังนั้นวันนี้เมื่ออีฟได้เป็นแม่ อีฟถึงได้รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ยากและไม่ง่าย”
เพราะความที่สองคนแม่ลูกใช้เวลาอยู่ด้วยกันตลอด นั่นจึงเป็นอีกเหตุผลที่เวลาเราสองคนคุยกันจะมีความรู้สึกเหมือนกับเป็นเพื่อน ?
อีฟ : “ใช่ค่ะ แต่อย่างบางคนเขาก็อาจจะรู้สึกนะคะว่าทำไมเราแบบ กระด้างจังเลยเวลาอยู่กับคุณแม่ คืออีฟไม่ได้เป็นเด็กอ่อนหวาน อีฟไม่ใช่คนอ่อนหวานมาตั้งแต่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาอยู่กับคุณแม่ คือเราสองคนสนิทกันมาก เวลาพูดกันคุยกันความรู้สึกมันก็เลยจะยิ่งเข้าใจกันมากขึ้น อีฟไม่เคยมีความลับกับคุณแม่ เราสองคนอยู่ด้วยกันตลอดเวลาจริงๆ ค่ะ”
เรื่องที่ อาเปี๊ยก เป็นห่วง อีฟ มากที่สุดตั้งแต่เด็กจนโตคือเรื่องอะไร ?
อาเปี๊ยก : “แม่ห่วงเรื่องความปลอดภัยอย่างเดียวเลยค่ะ อย่างเช่นเรื่องของการขับรถ เวลาที่เขาขับรถคนเดียวแม่ก็จะเป็นห่วง หรือแม้แต่ตอนเด็กๆ แม่ก็จะเป็นคนที่ไปรับไปส่งเขาตลอด ขนาดโตเป็นสาวแล้วเขายังถูกเพื่อนๆ แซวเลยค่ะว่า ‘ไปไหนเดี๋ยวจะฟ้องแม่นะ’ ซึ่งเขาก็จะตอบกลับไปว่า ‘ให้อยู่ฟ้องเลยเดี๋ยวแม่มารับ’ (หัวเราะ)”
วีรกรรมไหนของ อีฟ บ้างที่ อาเปี๊ยก รู้สึกว่าลูกสาวคนนี้ทำให้เราปวดหัว ?
อาเปี๊ยก : “ไม่ค่อยมีค่ะ จะมีก็มีแค่เรื่องเดียวสมัยที่เขาเรียนหนังสือ นั่นก็คือเหตุการณ์ที่เขาโดดโรงเรียน เป็นเรื่องที่ขำมาก ตลกมาก (หัวเราะ)”
อีฟ : “คุณแม่อ่ะขำ แต่ว่าคุณพ่อเสียใจค่ะ ตลกดีค่ะที่คุณแม่หัวเราะใหญ่เลย ในขณะที่คุณพ่อซีเรียส (ยิ้ม)”
อาเปี๊ยก : “แม่มองว่ามันเป็นนิสัยของเด็กที่มีเพื่อนและก็ตามเพื่อนมากกว่า คือเขาแค่ไม่ได้เข้าไปนั่งเรียนเฉยๆ”
อีฟ : “สาเหตุที่คุณแม่ขำก็เป็นเพราะว่า ในตอนที่อีฟโดนจับได้ว่าโดดเรียน อีฟเป็นลม (หัวเราะ) อันนี้เป็นลมจริงๆ เลยนะคะ จากนั้นก็ไปแอดมิทที่โรงพยาบาลเพื่อเอาตัวรอด คุณแม่เขาก็เลยรู้สึกว่าแบบคิดได้เนอะ (ยิ้ม)”
คุณแม่ในสายตาเรา ท่านเป็นคนดุไหม ?
อีฟ : “คุณแม่ไม่ดุค่ะ แต่อาจจะมีเสียงดังบ้าง และอีกเรื่องก็คือคุณแม่เป็นคนรักษาความสะอาด ชอบทำให้ทุกอย่างมีความเป็นระเบียบ แต่ก็มีแค่นั้นแหละค่ะ แม่ไม่เคยดุ ถึงจะมีก็มีแบบว่าน้อยมากจริงๆ ซึ่งในทางกลับกัน วันนี้อีฟมีลูก อี๊ฟเป็นคุณแม่แล้ว อี๊ฟดุลูกมากกว่าที่คุณแม่ดุอีฟซะอีก (หัวเราะ) ก็คือมีบุญเขามีคนตามใจเยอะ มีคนสปอยล์เยอะ ไม่เหมือนกับอีฟที่อีฟอยู่กับคุณแม่แค่สองคน ดังนั้นอีฟก็เลยต้องดุเพื่อให้เขามีใครสักคนที่เขารู้สึกกลัว”
อาเปี๊ยก : “มีบุญเขาฉลาดค่ะ เขาชอบทำไขสือ และก็ชอบอ้อน ขณะที่อีฟตอนเด็กๆ ถ้าแม่บอกเขาว่า ตายเลยนะ อันนี้ตายเลยนะ อีฟเขาก็จะรู้ว่าไม่ควรทำ ทั้งๆ ที่เขาไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าตายคืออะไร”
อีฟ : “อีฟคิดว่าอีฟเป็นคนที่ระวังตัวเองค่ะ เวลาคุณแม่บอกให้ระวังก็คือต้องระวัง”
อาเปี๊ยก : “เขาซนก็จริงค่ะ แต่ในความซนนั้นเขาก็จะมีความระวังตัวเองด้วย คือไม่ยอมให้ตัวเองเจ็บ ซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นข้อดีของเขา (ยิ้ม)”
อีฟ นำเอาวิธีการเลี้ยงลูกของคุณแม่ มาปรับใช้กับการเลี้ยงลูกของตัวเองอย่างไรบ้าง ?
อีฟ : “หลักๆ เลยก็คืออีฟเลี้ยงตามธรรมชาติค่ะ ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่ข้อดี แต่ก็คงไม่ใช่ข้อเสียมั้งคะ อีฟค่อนข้างเชื่อในสภาวะครอบครัวของตัวเองนะ อีฟโตมาแบบนี้ตามวิถีของบ้าน ดังนั้นอีฟก็เลยคิดว่าลูกน่าจะโตมาในวิถีเดียวกันได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยจริงๆ ก็คือ ‘ความใกล้ชิด’ ฉะนั้นสิ่งที่เป็นวิถีของบ้านเราก็คือการเลี้ยงลูกให้ใกล้ชิดเรามากที่สุด อีฟอยากให้ลูกรู้สึกเหมือนอีฟ ซึ่งก็คืออีฟไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยว อีฟไม่เคยรู้สึกว่าอีฟไม่มีใคร และอีฟก็อยากให้ลูกของอีฟรู้สึกแบบนั้นค่ะ”
สนิทกันมากขนาดนี้ พอจะบอกได้ไหมว่าเพราะอะไร อีฟ ถึงไม่ค่อยที่จะบอกรักคุณแม่ ?
อีฟ : “จริงๆ มันมีสาเหตุมาจากคุณแม่นั่นแหละค่ะ ก็คือด้วยความที่คุณแม่ท่านเป็นคนแข็งๆ เรื่องนี้มันเลยส่งผลมาถึงตัวอีฟ (หัวเราะ) ซึ่งตอนเด็กๆ อีฟเองก็เคยพยายามทำอะไรโรแมนติกกับเขาเหมือนกัน มีการ์ดให้ มีพวงมาลัยให้ แต่สุดท้ายอีฟก็โดนคุณแม่ถามกลับมาว่าแบบ ‘อะไรอ่ะ’ มันเลยเหมือนกับว่าเส้นทางเส้นนั้นถูกตัดไป แบบไม่ทำก็ได้เหรอ ก็เลยเป็นว่า โอเคงั้นเลิก (หัวเราะ)”
ถึงแม้จะไม่ได้เอ่ยคำว่ารักเป็นคำพูด แต่ก็รู้ว่าสิ่งที่ทำให้กันคือความรัก ?
อีฟ : “คนไม่รักกันอยู่กันแบบนี้ไม่ได้หรอกค่ะ อีฟคิดว่าตรงนี้มันมากพอที่จะบอกกับคุณแม่ได้ว่าอีฟรักท่าน (ยิ้ม)”
อยากได้ยิน อีฟ บอกคำหวานๆ กับคุณแม่สักครั้ง ?
อีฟ : “ไอ เลิฟ ยู (หัวเราะ)”
อาเปี๊ยก : “(ทำท่าเกาคาง) ไอ เลิฟ ยู (หัวเราะ) อันนี้ทำแบบมีบุญเลยค่ะ เวลามีบุญบอกว่า ไอ เลิฟ ยู”
อีฟ : “มีบุญเขาเป็นเด็กที่สวีทค่ะ คืออีฟเป็นคนที่สวีทกับเขา แต่ว่าคุณแม่ไม่สวีทกับอีฟ”
อาเปี๊ยก : “แม่อยากให้เขาแข็งแรง ไม่ต้องสวีท”
อีฟ : “ร้องไห้ไม่ได้เลยนะ เวลาร้องไห้คุณแม่ก็จะบอกว่า ‘ห้ามร้องไห้ เราต้องเข้มแข็งเรื่องแค่นี้ไม่ควรต้องใจอ่อน’ คุณแม่เองก็ไม่เคยร้องไห้ให้อีฟเห็นเหมือนกัน คือแม่เป็นนักแสดงไงคะ ส่วนคุณพ่อเป็นนักร้อง คุณพ่อร้องเพลงต้องได้เงิน ขณะที่คุณแม่ถ้าร้องไห้คุณแม่ก็ต้องได้เงินเหมือนกัน ถ้าร้องแล้วไม่ได้เงินคุณแม่ไม่ร้อง (หัวเราะ)”
ทุกวันนี้ อาเปี๊ยก ยังเป็นห่วงเรื่องอะไรของลูกสาวคนนี้บ้าง ?
อาเปี๊ยก : “ไม่ค่อยมีค่ะ ส่วนใหญ่แม่ไม่ห่วงอะไรเขาแล้ว เพราะเขาเองก็อยู่ใกล้ชิดกับแม่ทุกวัน และก็อย่างที่บอกเรื่องที่ห่วงมาตลอดก็คือเรื่องของการเดินทาง เวลาขับรถไปไหนมาไหนแม่ก็จะอวยพรเขาตลอดขอให้พระคุ้มครองเขา ขอให้ทุกอย่างราบรื่น การทำงานราบรื่น”
สุดท้ายเนื่องในโอกาสวันแม่ ในยุคที่โซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทกับหลายๆ ครอบครัว และอาจทำให้ พ่อกับลูก แม่กับลูก ไม่ได้พูดคุยกันหรือใกล้ชิดกันเหมือนกันแต่ก่อน เรามีอะไรอยากจะฝากบอกคุณพ่อ คุณแม่ และลูกๆ เหล่านั้นบ้างไหม ?
อีฟ : "ต้องใช้โซเชียลฯ ให้เป็นประโยชน์ค่ะ จริงๆ แล้วโซเชียลฯ เป็นเรื่องที่ดีนะคะถ้าใช้ให้ถูก เพราะอีฟคิดว่ามันมีหลายครอบครัวจริงๆ ที่เขาจำเป็น อย่างเช่น ลูกอยู่ทาง คุณพ่อคุณแม่อยู่ทาง บางคนไปเรียนต่างประเทศ บางคนทำงานต่างจังหวัด ซึ่งก็มีโซเชียลฯ นี่แหละค่ะที่ช่วยให้เราได้อยู่ใกล้กันได้มากขึ้น
ฉะนั้นสิ่งสำคัญก็คือ ‘เราต้องใช้ให้ถูก’ และ ‘อย่ารักกันแค่ไหนโซเชียลฯ อย่าแสดงออกแค่ในโซเชียลฯ’ เราควรที่จะรู้ว่าโลกที่เราสัมผัสกันได้มันคือโลกของความเป็นจริง เราสามารถแสดงความรักกับพ่อแม่เราได้โดยความเป็นจริง ไม่จำเป็นที่จะต้องถ่ายรูปเพื่อแสดงให้คนอื่นรู้ เราควรแสดงให้คนของเรารู้มากกว่า
การลงโซเชียลฯ มันเป็นเรื่องของการบันทึกความทรงจำ ซึ่งอีฟก็ทำ แต่ไม่ใช่เป็นการบันทึกเพื่อบอกกับคนอื่นว่าเรารักนะ แต่จริงๆ แล้วเราไม่เคยดูแลพ่อแม่เลย ไม่เคยทำอะไรเพื่อแม่เลย ซึ่งถ้าเราได้กลับมาย้อนดูในอนาคตเราอาจจะเสียใจภายหลัง แต่ถ้าหากเราได้ทำทุกๆ อย่างในช่วงเวลานั้นอย่างเต็มที่จริงๆ แล้ว และเราได้บันทึกความรู้สึกดีๆ เอาไว้ อีฟก็คิดว่ามันคงดีกว่า”
อัลบั้มภาพ 14 ภาพ