“สนธิรัตน์” เตือน เตรียมรับมือค่าไฟฟ้า-ค่าเงินบาท กระทบปากท้อง

“สนธิรัตน์” เตือน เตรียมรับมือค่าไฟฟ้า-ค่าเงินบาท กระทบปากท้อง

“สนธิรัตน์” เตือน เตรียมรับมือค่าไฟฟ้า-ค่าเงินบาท กระทบปากท้อง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“สนธิรัตน์” บอก รัฐเตรียมการรับมือผลกระทบค่าไฟฟ้า-ค่าเงินบาทต่อประชาชน ห่วงติดกับดักระเบิดระลอกใหม่

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย และอดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์เฟสบุ๊คถึงสถานการณ์ค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยระบุว่า ค่าไฟ และค่าเงินบาท เป็น 2 เรื่องกระทบปากท้องที่ต้องจับตา สัปดาห์ก่อนตนสำรวจข้อมูลเรื่องสถานการณ์ค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น

จะเห็นว่าส่งผลกระทบต่อพวกเราเต็ม ๆ โดยสัปดาห์นี้มีอีก 2 เรื่องที่ขอพูดถึงเพราะถือเป็น “ระเบิดเวลาปัญหาปากท้อง” ลูกต่อไป คือ ค่าไฟฟ้า (ค่าเอฟที FT) ที่กำลังเตรียมจะเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ยหน่วยละ 5 บาท ในงวดเดือนก.ย.– ธ.ค.ที่จะถึงนี้ ต้องเตรียมรับมือกับค่าไฟที่เพิ่มขึ้น ซึ่งล่าสุดมีข้อมูลขีดสามารถในการส่งก๊าซของแหล่งบงกชเหนือ หรือ GBN ว่าลดลงจากเดิม 500 เหลือ 385 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (ช่วง 29 มิ.ย. – 16 ก.ค. 65) ซึ่งความสามารถที่ลดลงนี้อาจจะมีผลต่อการผลิตไฟฟ้า

ซึ่งตนขออธิบายว่า ก๊าซธรรมชาติถูกนำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้าเป็นหลัก โดยมีสัดส่วนการใช้ถึง 60 เปอร์เซ็นต์ และที่เหลือเป็นการใช้ในภาคอุตสาหกรรม โรงแยกก๊าซ NGV และอื่นๆ โดยปัจจุบันความสามารถในการผลิตเราเทียบกับช่วงปีก่อนเหลือเพียงแค่ 65% ลดลงกว่า 20.6%ในการผลิตก๊าซธรรมชาติเพื่อใช้เอง

ขณะที่สัดส่วนการนำเข้าเพิ่มขึ้น 3.8% โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 35 เปอร์เซ็นต์ ด้วยค่าก๊าซที่ตลาดโลกมีราคาแพงเราต้องนำเข้า ปัจจุบันแบ่งเป็นการนำเข้าจากเมียนมาร์ 17% จากแหล่งยาดานา ซอติกา และเยตากุน และอีก 18 เปอร์เซ็นต์ คือนำเข้า LNG จากประเทศผู้ผลิตอื่น ๆ ซึ่งในอนาคตการนำเข้าในสัดส่วนนี้จะเพิ่มมากขึ้น และแน่นอนว่ายิ่งความสามารถการผลิตเรามีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ เราก็จำเป็นต้องพึ่งการนำเข้าที่มากขึ้น และแน่นอนว่าต้องแลกมาด้วยต้นทุนด้านการแปรสภาพ LNG ให้เป็นก๊าซธรรมชาติและค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าขนส่ง

นายสนธิรัตน์ ระบุว่า ในส่วนของการนำเข้าทั้งจากเมียนมาร์ และ LNG จากผู้ผลิตเป็นการจัดซื้อโดยจ่ายเป็นเงินสกุล USD (ดอลลาร์สหรัฐ) และยิ่งค่าเงินบาทยิ่งอ่อนมากเท่าไหร่ นั่นหมายความว่า ราคาก๊าซจะเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย นี่จึงเป็นอีกเรื่องที่ต้องให้ความสนใจในเรื่องค่าเงินบาท ค่าเงินบาท ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 ก.ค. เงินบาทอ่อนค่าไปที่ 36.73 บาทต่อ 1 USD อ่อนค่าสูงสุดในรอบ 15 ปี และมีแนวโน้มผันผวน และมีความเสี่ยงที่จะอ่อนค่าลงอีก

จากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) และมีผลต่อการแข็งค่าของ USD และความกังวลสถานการณ์โควิดในประเทศจีน อย่างไรก็ตาม ความกังวลเรื่องค่าเงิน และสถานการณ์เหล่านี้ยังไม่จบง่าย ๆ เราคงจะได้เห็นสถานการณ์ที่ยาวต่อจากนี้ ทั้งความขัดแย้งรัสเซีย ยูเครนที่ทอดระยะเวลาออกไป ปัญหาเงินเฟ้อ และการเพิ่มดอกเบี้ยของ FED ซึ่งมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็น 1 เปอร์เซ็นต์ ในการประชุมช่วงปลายเดือนนี้

สำหรับค่าเงินที่อ่อนลงแม้จะเป็นความโชคดี และเอื้อต่อการส่งออกในบ้านเราที่มากขึ้น แต่ถึงอย่างไร ก็เป็นผลกระทบในเชิงลบสำหรับธุรกิจภาคเอสเอ็มอี (SME) ที่นำเข้าสินค้า ที่จะได้รับทั้งผลกระทบจากต้นทุนสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นและไม่มีกำลังพอที่จะพัฒนาขีดความสามารถต่อภายใต้เงื่อนไขที่เป็นอยู่ รัฐจะต้องหาแนวทางในการช่วยเหลือต่อไป ไม่ว่าจะผ่านการจ้างงาน หรือพัฒนาความสามารถในการแข่งขันต่อไป

สุดท้ายนี้ตนคงต้องขอบอกว่า สำหรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะยาวแน่นอน ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และหากรัฐไม่เตรียมการรับมือดีๆ ก็อาจติดกับดักระเบิดระลอกใหม่ต่อไปได้ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook