รัสเซียท่าจะไปต่อไม่ไหวในสงครามรุกรานยูเครน
ท่านผู้อ่านที่เป็นแฟนภาพยนตร์สายลับอังกฤษเจมส์ บอนด์ 007 ที่มีอยู่ในปัจจุบันถึง 27 เรื่องในช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ. 2505 -2565 ยืนยงอยู่ถึง 60 ปีแล้ว คงจะจำหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับผู้เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของสายลับ 007 ในนามว่า MI 6 (เอ็ม.ไอ. 6) ได้ดี ซึ่งเป็นผู้มีตัวตนจริงๆ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
หน่วยข่าวกรองลับ (Secret Intelligence Service) มักเรียกเป็นชื่อย่อว่า เอสไอเอส (SIS) ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2452 (สมัยร.5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) เป็นแผนกหนึ่งของสำนักงานราชการลับ (Secret Service Bureau) มีหน้าที่จำเพาะในด้านข่าวกรองต่างประเทศ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ต่อมาใน พ.ศ. 2463 ถูกยกฐานะขึ้นเป็นหน่วยงานอิสระ สำหรับชื่อ "เอ็มไอ 6" นั้น ย่อมาจาก "Military Intelligence, Section 6" (ข่าวกรองทหาร แผนก 6) เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ชื่อ "เอ็มไอ 6" นี้ยังใช้กันมาจนถึงปัจจุบันซึ่งหมายรวมถึงตัวหัวหน้าหน่วยข่าวกรองลับ
อย่างไรก็ดี การมีตัวตนอยู่ของเอสไอเอสไม่เป็นที่รับรองอย่างเป็นทางการเพราะถือว่าเป็นหน่วยงานลับจนกระทั่ง พ.ศ. 2537 ซึ่งมีการเสนอพระราชบัญญัติราชการข่าวกรอง พ.ศ. 2537 (Intelligence Services Act) หรือไอเอสเอ (ISA) ต่อรัฐสภา เพื่อวางรากฐานให้แก่หน่วยงานนี้เป็นครั้งแรก
ปัจจุบัน เอสไอเอสอยู่ในการกำกับดูแลของคณะตุลาการอำนาจสืบสวน (Investigatory Powers Tribunal) กับคณะกรรมาธิการข่าวกรองและความมั่นคงของรัฐสภา (Parliamentary Intelligence and Security Committee) และตั้งแต่ พ.ศ. 2538 เอสไอเอสมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ตึกเอสไอเอสในกรุงลอนดอน ตรงฝั่งใต้ของแม่น้ำเทมส์
Dan Kitwood/Getty Images
หน้าที่ที่สำคัญของเอสไอเอส ตามที่มีระบุไว้ในพระราชบัญญัติ คือ การต่อต้านการก่อการร้าย การต่อต้านการแพร่กระจายของอาวุธร้ายแรง การให้ข่าวกรองเพื่อสนับสนุนความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และการสนับสนุนเสถียรภาพในต่างแดนเพื่อทำลายการก่อการร้ายและอาชญากรรมอื่นๆ
แต่เอสไอเอส ต่างจากหน่วยงานสืบราชการลับอื่นๆ ด้วยกัน อันได้แก่ หน่วยความมั่นคง (Security Service: MI5) และกองบัญชาการสื่อสารของรัฐบาล (Government Communications Headquarters: GCHQ) ตรงที่เอสไอเอสทำงานเฉพาะที่เกี่ยวกับการประมวลข่าวกรองจากต่างประเทศ
พระราชบัญญัติไอเอสเอกำหนดให้เอสไอเอสปฏิบัติการต่อบุคคลที่อยู่นอกเกาะอังกฤษเท่านั้น
นอกจากนี้ เอสไอเอสยังมีความร่วมมือและแบ่งปันข่าวกรองอย่างใกล้ชิดกับสำนักข่าวกรองกลาง (Central Intelligence Agency) หรือ ซีไอเอ (CIA) เป็นหน่วยงานข่าวกรองของรัฐบาลกลางสหรัฐอย่างใกล้ชิดเพราะหน้าที่ตามกฎหมายคล้ายคลึงกัน โดยซีไอเอมี หน้าที่ใน การรวบรวม ประมวล และวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารด้านความมั่นคงแห่งชาติจากทั่วโลก
การดำเนินการของเอสไอเอสนับแต่เริ่มศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา มักถูกกล่าวหาอย่างต่อเนื่องคือการมีส่วนรู้เห็นในการทรมานและลักพาตัวบุคคลซึ่งดูจะสอดคล้องกับเรื่องในภาพยนตร์สายลับอังกฤษเจมส์ บอนด์ 007 เลยทีเดียว
นายริชาร์ด มัวร์ หัวหน้าหน่วยข่าวกรองลับของอังกฤษ (MI6) แถลงในการประชุมด้านความมั่นคงแอสเพน (Aspen Security Forum) ที่มลรัฐโคโรลาโด สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการประชุมร่วมประจำปีของผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศและเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว โดยมีการอภิปรายเกี่ยวกับการรุกรานของรัสเซียและความเสี่ยงเกี่ยวกับอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของจีนเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้ว่า การทำสงครามของรัสเซียในยูเครนกำลังจะขาดห้วงไป และรัสเซียจะต้องหยุดการรุกรานยูเครนชั่วคราวเพราะทางซีไอเอสประเมินว่ารัสเซียเริ่มขาดแคลนกำลังคน และอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างหนักในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ทำให้ต้องยุติการโจมตีในทางใดทางหนึ่ง
STEPHANE MAHE / POOL / AFP
นายริชาร์ด มัวร์ กล่าวว่า มีหลายสัญญาณว่ารัสเซียอาจจะเริ่มไปต่อไม่ไหว ตั้งแต่ที่รัสเซียล้มเหลวอย่างมีนัยยะสำคัญในการยึดกรุงเคียฟและโค่นล้มรัฐบาลของประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครนในช่วงแรกของการรุกราน ทำให้สงครามยืดเยื้อ และในสมรภูมิดอนบาส (ยูเครนตะวันออก) ในปัจจุบันเอง รัสเซียก็เน้นใช้กลยุทธ์ ระดมยิงปืนใหญ่จากระยะไกลเป็นส่วนใหญ่
หัวหน้าหน่วยข่าวกรองของอังกฤษ ยังเสริมว่า รัสเซียสูญเสียความสามารถในการสอดแนมในยุโรปไปแล้วถึงครึ่งหนึ่ง หลังจากสายลับรัสเซียทั่วยุโรปกว่า 400 คนที่แฝงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ทางการทูตในเมืองต่างๆ ได้ถูกขับไล่ออกนอกประเทศและบ้างก็ถูกจับกุม เป็นการลดขีดความสามารถในการสอดแนมของรัสเซียในยุโรปลงได้ถึงครึ่งหนึ่ง โดยที่สายลับรัสเซียจำนวนหนึ่งที่ปฏิบัติการด้วยการปลอมตัวเป็นพลเรือนธรรมดาของยูเครน ก็ถูกเปิดเผยและจับกุมในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเปิดโอกาสให้กองทหารยูเครนมีโอกาสโจมตีกลับมากขึ้นเพราะยูเครนเริ่มได้รับอาวุธดีๆ จากทางประเทศตะวันตกจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
พร้อมทั้งระบุว่า หน่วยข่าวกรองของรัสเซียประเมินยูเครนต่ำเกินไปสำหรับความเป็นชาตินิยมและความสามารถในการป้องกันมาตุภูมิ และอาจกลัวที่จะพูดความจริงต่ออำนาจในสายการบังคับบัญชา เนื่องจากประธานาธิบดี ปูตินมุ่งมั่นที่จะบุกโจมตียูเครนเป็นอย่างมาก
Paula Bronstein/Getty Images
เมื่อเอ็มไอ 6 ถูกถามถึงข่าวลือที่ว่าประธานาธิบดีปูตินมีอาการป่วยหรือไม่นั้น ก็ได้รับคำตอบว่าไม่มีหลักฐานยืนยันว่าผู้นำรัสเซียกำลังป่วยหนัก
นายริชาร์ด มัวร์ ยังกล่าวถึงเรื่องปมความขัดแย้งระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับไต้หวัน โดยบอกว่า ขณะนี้ จีนเป็น "เป้าหมายสำคัญ" ของ หน่วยงานซีไอเอสในการสืบหาข้อมูลต่อคำถามว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนจะพยายามบุกไต้หวันหรือไม่นั้นยังไม่สามารถประเมินได้ในขณะนี้ เพราะว่า ประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง กำลังทำตัวเหมือนกับเหยี่ยวที่คอยเฝ้าดูสงครามรัสเซีย-ยูเครน และวิธีที่สหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศตะวันตกตอบสนองต่อความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
Kevin Frayer/Getty Images
แต่ส่วนตัวของนายมัวร์คิดว่านาย สี จิ้นผิง ประเมินความละเอียดและพลังอำนาจของสหรัฐอเมริกาต่ำไป และนั่นอาจทำให้เขาคำนวณผิดพลาดโดยเฉพาะในกรณีไต้หวัน
อย่างไรก็ตาม นายมัวร์ไม่เชื่อว่าสงครามระหว่างจีนและไต้หวันจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ส่วนบทบาทของสาธารณรัฐประชาชนจีนในสถานการณ์ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนขณะนี้ นายมัวร์อ้างว่า เป็นที่ชัดเจนว่าจีนกำลังช่วยรัสเซียด้วยการซื้อน้ำมัน เพราะทำให้รัสเซียมีเงินทุนหมุนเวียนในการทำสงคราม แต่ยังคงสงวนท่าทีเกี่ยวกับความช่วยเหลือทางทหาร