หมอฉันชาย ติงไม่ควรซื้อโมลนูพิราเวียร์กินเอง อ.เจษฎา ยกงานวิจัยโต้ ยันไม่ใช่ยาอันตราย
หมอฉันชาย ติงไม่ควรซื้อโมลนูพิราเวียร์กินเอง ยันไม่ได้มอนิเตอร์ความเห็น อ.เจษฎา ขณะที่ อ.เจษฎา ยันด้วยงานวิจัย ไม่ใช่ยาอันตราย
กรณีดราม่า อ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กซื้อยาโมลนูพิราเวียร์มาให้คนครอบครัวที่ติดโควิด -19 ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูร รมว.สาธารณสุข เตรียมเอาผิดร้านขายออนไลน์ เพราะยาดังกล่าวเป็นยาควบคุมพิเศษ
(2 ส.ค. 65) รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผอ.รพ.จุฬาลงกรณ์ ให้สัมภาษณ์ว่า การใช้ยาต้านไวรัส เป็นยาควบคุมให้ใช้ตามดุลพินิจของแพทย์ และข้อบ่งชี้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา หรือผลกระทบจากการใช้ยาเกินความจำเป็น อาจเกิดกลายพันธุ์ได้ ทางการแพทย์หลายรายไม่มีอาการ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาก็หายขาดได้
ขณะที่มีสื่อบางสำนักรายงานว่า รศ.นพ.ฉันชาย มอนิเตอร์หรือติดตามความเคลื่อนไหวของ อ.เจษฎา ทาง รศ.นพ.ฉันชาย ก็กล่าวชี้แจงว่า ตนไม่ได้มอนิเตอร์ความคิดเห็นของ อ.เจษฎา และไม่เกี่ยวข้องกับตน เพราะไม่ได้ดูคณะวิทยาศาสตร์ เพียงติดตาม คอยดู รับฟัง การนำเสนอข้อมูลของอาจารย์คณะแพทย์ศาสตร์ในเชิงวิชาการ ว่าถูกต้องหรือไม่ ไม่อยากให้เกิดความสับสน
ทางด้าน อ.เจษฎา ก็ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant ระบุว่า ที่ท่านคณบดีพูด มันก็ถูก ที่ว่า ถ้าเป็นยาอันตราย ก็ควรจะได้รับการจ่ายจากแพทย์ .. แต่ถ้าประเมินแล้วว่าเป็นยาที่ไม่ได้อันตราย ก็ควรจะสามารถจ่ายยาโดยเภสัชกรได้ เหมือนในประเทศอื่นๆซึ่งจริงๆแล้ว ถ้ายามันไม่ขาดแคลน คนติดโควิดแล้วได้ยากันถ้วนหน้า ก็คงไม่มีใครไขว่คว้าหาของมากินเองหรอกครับ นี่ขนาดพวก 608 แต่เป็นชาวบ้านทั่วไป ก็ยังได้กันน้อยเลย ยาต้านไวรัส จริงๆ แล้ว จะต้องรีบให้เร็วที่สุดเมื่อรู้ตัวว่าติดเชื้อภายใน 5 วัน เพื่อให้เชื้อไวรัสไม่เพิ่มจำนวน ไม่ใช่มาดูก่อนว่ามีอาการป่วยรุนแรงหรือเปล่า แล้วค่อยให้ แบบนั้นจะไม่มีประโยชน์แล้ว
อ่อ ยานี้มีการห้ามใช้แค่ในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรเท่านั้นครับ (และไม่แนะนำสำหรับคนที่อายุ 18 ปีลงไป) คนอื่นกินได้เลย ไม่ได้แปลว่าเฉพาะคนที่เป็น 608 เท่านั้นที่จะได้กิน (ยกเว้นยาจะขาดแคลนแบบประเทศไทยเรา) ถ้ากังวลว่า กลัวประชาชนจะได้ยาปลอม ก็ยิ่งควรจะเร่งเปิดช่องทางให้เอกชนนำยาจริงเข้ามาให้มากที่สุด และกระจายทั่วไป โดยไม่กีดกันไว้ว่าเป็นแค่ ก. สาธารณสุข เท่านั้นที่เข้าถึงยาได้
เรื่องนี้มันก็ซ้ำรอยกับเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเรื่องการกักตัวที่บ้าน (ที่ตอนแรกก็ห้ามทำ เพราะกลัวควบคุมคนไม่ได้) เรื่องการใช้ชุดตรวจ ATK ด้วยตัวเอง (ที่ตอนแรกก็ห้ามใช้ เพราะกลัวตรวจไม่แม่นเท่าหมอ) ตอนนี้ ก็มากลัว ไม่ให้ประชาชนใช้ยาต้านไวรัสเองอีก ทั้งที่ประเทศอื่นเขาก็ใช้กันได้ และก็ไม่ได้มีปัญหาในการใช้งานอย่างที่สร้างความหวาดกลัวกัน (เรื่องดื้อยา ก็มีงานวิจัยชัดเจนแล้วว่าไม่น่าเกิดขึ้น) ... คงต้องรอจนได้ผลประโยชน์กันไปเต็มที่แล้วมั้ง ถึงจะปล่อยให้ยาต้านไวรัสกระจายทั่วถึงได้