รองโฆษกตำรวจแจงเหตุ ส.ต.ท.หญิงบรรจุตำรวจได้ตอนอายุ 39 เป็นข้อยกเว้นตามกฎ
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. เปิดเผยความคืบหน้ากรณีตำรวจสันติบาลหญิง ชั้นประทวนทำร้ายทหารหญิงที่จ.ราชบุรีว่า ประมาณต้นปี 2559 ผู้เสียหายและผู้ต้องหารู้จักกัน จากการสอบปากคำต้นปี 2564 มีการทำร้ายร่างกายผู้เสีย เนื่องจากทำงานไม่ถูกใจ และต้นปี 2565 มีการทำร้ายมากขึ้น จึงขอความช่วยเหลือจากพ่อแม่และน้าสาว ให้ญาติเข้าทางเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ
จากนั้นสอบปากคำผู้เสียหายและพยาน คัดกรองแยกผู้เสียหายตามความผิดเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ลักษณะการค้าทาส มีการทำการตรวจค้นบ้านผู้ต้องหา ก่อนเข้ามอบตัวเพื่อเข้าสู้คดีดังกล่าว แจ้งข้อกล่าวหาเป็นข้าราชการกระทำความผิดค้ามนุษย์บังคับใช้คนในลักษณะคล้ายทาส , การทำร้ายร่างกายและจิตใจผู้อื่น
ขณะนี้ผู้ต้องหาอยู่ในการควบคุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันนี้สอบปากคำแพทย์ที่เกี่ยวข้อง ส่วนการดำเนินการทางวินัย กองบังคับการตำรวจสันติบาล 1 (บก.ส.1) ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา ดำเนินการควบคู่ทางคดีอาญา โดยผู้ต้องหาไม่ได้มารายงานตัวตามระเบียบเมื่อต้องคดีอาญาเนื่องจากถูกคุมขังที่เรือนจำกลางจังหวัดราชบุรี
ส่วนกรณีตำรวจหญิงเข้ารับราชการอายุ 39 ปีนั้น พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวว่า ผู้ต้องหาเข้ารับราชการตำรวจปี 2560 ใช้วุฒิ ปวส. ด้านบัญชี ย้ายมาที่สันติบาล ก.พ.2565 สำนักงานงบประมาณและการเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สงป.ตร.) โดยพิจารณาผู้มีคุณสมบัติตามวุฒิขาดแคลน ถึงมีระบุว่าอายุไม่เกิน 35 ปี แต่มีข้อยกเว้นตามกฎ ก.ตร. สามารถดำเนินการได้ แต่จะมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่ามีการดำเนินการรับเข้ารับราชการถูกต้องตามขั้นตอนหรือไม่
ส่วนการตั้งข้อสังเกตว่ามีผู้ต้องหามีอภิสิทธิ์เหนือผู้อื่นนั้น ยืนยันว่าอยู่ที่ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่มีอำนาจยืนยันว่าดำเนินการตามมาตรฐานเดียวกัน ตามกรอบกฎหมายไม่มีอภิสิทธิ์เหนือใคร เป็นข้าราชการต้องคดีต้องรับโทษมากกว่าคนทั่วไป กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องการกระทำผิดส่วนตัวไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดภาพรวมทั้งหมดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.)