‘พล.อ.วิชญ์’ พรรครวมแผ่นดิน เผยชื่อแคนดิเดตนายกฯ ชูโมเดลรวม 2 ขั้วยุติขัดแย้ง
หลังจากกฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ลงเอยด้วยสูตรการคำนวน ส.ส. บัญชีรายชื่อแบบหาร 100 ทำให้พรรคเล็กและพรรคใหม่เริ่มมีความเคลื่อนไหว เช่น การรวมพรรค เป็นต้น แต่พรรครวมแผ่นดินที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นเดือนสิงหาคมยังไม่มีความเคลื่อนไหว แถมยังพูดอย่างเต็มปากว่าไม่กลัวสูตรหาร 100 หรือหาร 500 พร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่าเป็นเพราะพรรคนี้เป็นนอมินีของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาการนายกรัฐมนตรีหรือไม่?
ทีมข่าว Sanook สัมภาษณ์พิเศษ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา หัวหน้าพรรครวมแผ่นดิน และเลขาธิการคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ อดีตนักเรียนโรงเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 11 และนักเรียนโรงเรียนนายร้อย จปร. รุ่นที่ 22 ห่างจากกัน 5 รุ่นกับ พล.อ.ประวิตร ที่เรียนโรงเรียนนายร้อย จปร. รุ่น 17 แต่มาสนิทสนมกันเมื่อย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้การทหารพรานที่จังหวัดสระแก้ว ทำงานร่วมกับ พล.อ.ประวิตร ในฐานะผู้บังคับบัญชาในขณะนั้น
พล.อ.วิชญ์ เล่าให้ฟังว่า ก่อนที่จะมารู้จักคุ้นเคยกัน พล.อ.ประวิตร เล่าให้ฟังว่าตอนแรกคิดว่าเป็นลูกผู้ใหญ่ก็จะมาเพื่อเอาตำแหน่ง แต่ไม่ตั้งใจทำงาน ตัวเองก็ได้พิสูจน์ด้วยการตั้งใจทำงานจน พล.อ.ประวิตร ไว้วางใจ ขณะเดียวกันก่อนมารับราชการที่จังหวัดสระแก้ว ตัวเองก็เคยได้ยินชื่อว่า พล.อ.ประวิตร เป็นเจ้าพ่ออรัญประเทศ ซึ่งพอมาเจอตัวจริงก็รู้เลยว่าท่านมีบารมี เพราะท่านอยู่ในพื้นที่มานาน คอยดูแล รู้จักสนิทสนมกับทั้งประชาชน พ่อค้า พลเรือน และสิ่งที่ตัวเองประทับใจที่สุดคือ ความอดทน และการดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างดี ซึ่งตัวเองเห็นท่านเป็นไอดอลในเรื่องนี้และยึดมาปรับใช้กับชีวิตการทำงานด้วย
ไม่เคยคิดอยากเป็นทหาร - นักการเมือง แต่ทำเพื่อทดแทนคุณ
พล.อ.วิชญ์ เปิดเผยว่า จริงๆ แล้วไม่เคยคิดอยากเป็นนักการเมือง หรือแม้กระทั่งทหาร แต่อยากเป็นหมอ เป็นนักกีฬารักบี้ ตามความฝันของเด็กมัธยมทั่วๆ ไป แต่เนื่องด้วยคุณแม่อยากให้ลูกเป็นทหารเหมือนพ่อ และตัวเองเป็นคนที่มีสภาพร่างกายพร้อมที่สุดในบรรดาพี่น้อง ทำให้ต้องเลือกทดแทนบุญคุณแม่ด้วยการเข้าเรียนโรงเรียนนายร้อย และรับราชการทหารเรื่อยมา จนได้เข้าชิงตำแหน่ง ผบ.ทบ. กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรับตำแหน่งประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบกในที่สุด ซึ่งสิ่งที่ พล.อ.วิชญ์ ชอบในวิชาชีพนี้คือความมีวินัย
ส่วนเรื่องการเมือง หลังจากตัวเองเกษียณอายุราชการแล้ว พล.อ.ประวิตร ที่เป็นรุ่นพี่ที่สนิท เรียกให้มาช่วยทำงานการเมืองในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ และด้วยอุบัติเหตุในช่วงเวลานั้นก็ทำให้ตัวเองต้องทำงานการเมืองต่อเนื่องมาเป็นหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทยและหัวหน้าพรรครวมแผ่นดินในที่สุด ซึ่งยอมรับว่างานการเมืองเป็นสิ่งที่หนักมากที่สุดเท่าที่เคยเจอมา แต่ก็คิดว่าถ้ายังมีแรง ก็ต้องทำงานทดแทนบุญคุณแผ่นดิน
“เราก็คิดว่าถ้าเรายังมีกำลังกาย กำลังใจที่จะไปได้ และถ้าทำประโยชน์ให้กับแผ่นดินได้ เราก็คิดว่าตรงนั้นเป็นจุดหนึ่งที่ผมคิดว่าเราก็ต้องมาทดแทนคุณแผ่นดินให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้วันนี้ก่อน ก่อนที่เราจะตายจากกันไป” พล.อ.วิชญ์ กล่าว
อนาคตพรรครวมแผ่นดินและทิศทางการเมือง
เมื่อถามว่า พรรคตั้งมาเพื่อสนับสนุนให้ลุงป้อมได้เป็นนายกฯ ต่อจริงไหม? พล.อ.วิชญ์ ตอบว่า “ถามกันตรงๆ อย่างนี้ ผมก็พูดตรงๆ เลยว่า ความเป็นไปได้ก็มี ถ้าท่านมีสุขภาพ จิตใจที่แข็งแรงพอที่จะเป็น แต่ถ้าสุขภาพท่านไม่ไหว เราก็คงจะต้องหาคนที่มีประสิทธิภาพและจิตใจที่สามารถทำงานให้บ้านเมืองได้ แค่นั้นเอง”
ถือว่าเป็นคำตอบที่ชัดเจนตามสไตล์การพูดที่ตรงไปตรงมาของเจ้าตัว และเมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อไปว่า การรวมแผ่นดิน ที่เป็นหลักการของพรรคจะทำได้อย่างไร เมื่อทุกพรรคที่เคยพูดมาทำไม่เคยสำเร็จ? และถ้าเป็นการรวมขั้วตรงข้ามอย่างรัฐบาลกับฝ่ายค้านไปเลย พรรครวมแผ่นดินจะโอเคหรือไม่? พล.อ.วิชญ์ กล่าวว่า ในชีวิตที่ผ่านมายังไม่เคยเห็นบ้านเมืองมีความสงบสุขและประชาชนอยู่ดีกินดีอย่างที่ควร มันถึงเวลาแล้วที่เราต้องรวมใจ รวมแผ่นดิน เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง และเพื่อให้บ้านเมืองไปต่อได้ ส่วนถ้าจะเป็นการรวมกันของฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ตัวเองก็ไม่ติดอะไร แถมยังเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำ เพราะคนได้ประโยชน์คือประเทศและประชาชน และพรรครวมแผ่นดินเองก็พร้อมร่วมกับทุกฝ่ายเพื่อที่จะเข้าไปทำหน้าที่ ดูแลบ้านเมืองให้สงบสุข ให้ประชาชนมีสุข ประชาชนเลือกใครก็คือคนนั้น พร้อมร่วมทำงานด้วย
เมื่อถามต่อไปว่า ระหว่างความสงบกับกินดีอยู่ดี หากต้องเลือกจะเลือกอะไร? พล.อ.วิชญ์ ตอบว่า ต้องเลือกให้ประชาชนต้องอยู่ดีกินดีก่อน การที่เราอยู่ดีกินดี มันก็จะควบกันในลักษณะของการที่จะไม่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย แต่จริงๆ แล้วทั้งสองอย่างมันต้องมาคู่กัน ทั้งนี้ พล.อ.วิชญ์ ยังเปิดเผยว่า พรรครวมแผ่นดินวางแผนที่จะส่งผู้สมัคร ส.ส. 150 - 200 เขต และคาดว่าจะได้เก้าอี้ ส.ส. 20 - 25 ที่นั่ง หวังทำนโยบายให้ประชาชนอยู่ดีกินดีและมีความสงบสุข ตราบใดที่ตัวเองยังทำงานให้กับประเทศชาติได้
“ผมเนี่ย อายุ ย่างปีนี้เข้า 73 อายุมากพอสมควร อย่างบางทีบางคนรุ่นใหม่ก็มองภาพว่า ขนาดนี้อาเนี่ยน่าจะอยู่บ้านมากกว่า...แต่ที่ผ่านมาในชีวิตเราไม่เคยเห็นบ้านเมืองมีความสงบเท่าที่ควร เราก็คิดว่าถ้าเราคิดทำอะไรเพื่อส่วนร่วมเพื่อบ้านเมืองจริงๆ เราน่าจะมาทำซะก่อนที่เราจะจากไป...ผมคิดว่าถ้าเรามาช่วยกัน คนอย่างอายังมีประโยชน์พอที่จะช่วยบ้านเมืองได้...เราอยากให้ทุกอย่างกลับบ้าน เมืองมีความสงบสุข ประชาชนอยู่ดีกินดี” พล.อ.วิชญ์ กล่าว