สายมูทั่วไทย หอบเสื้อผ้านอนวัดดัง ต่อคิวดูดวง-เปลี่ยนชื่อ ต้องรอกี่คืนก็สู้ไม่ถอย

สายมูทั่วไทย หอบเสื้อผ้านอนวัดดัง ต่อคิวดูดวง-เปลี่ยนชื่อ ต้องรอกี่คืนก็สู้ไม่ถอย

สายมูทั่วไทย หอบเสื้อผ้านอนวัดดัง ต่อคิวดูดวง-เปลี่ยนชื่อ ต้องรอกี่คืนก็สู้ไม่ถอย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สายมูทั่วไทย หอบเสื้อผ้านอนวัดดังเชียงใหม่ ต่อคิวดูดวง-เปลี่ยนชื่อกับพระอาจารย์ ไม่ท้อแม้ต้องรอข้ามวันข้ามคืน 

ผู้คนจากหลายจังหวัดทั่วไทยหลั่งไหลเดินทางไปดูดวงกับพระสงฆ์ในวัดดังเมืองเชียงใหม่จนแน่นวัด และด้วยคิวดูดวงที่จำกัดวันละ 20 คน ทำให้ทุกคนต้องรอคิวแบบมาราธอนข้ามวันข้ามคืน โดยต้องนอนรอที่วัดกันหลายคืนกว่าจะถึงคิวดูดวงของตัวเอง บางคนนอนถึง 5 คืนแต่ก็ไม่ลดละความพยายาม

ล่าสุดวันนี้ (13 ก.ย.65) ทีมข่าวลงพื้นที่วัดทูงยู ต.ศรีภูมิ อ.เมืองเชียงใหม่ พบประชาชนพากันหอบหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้า พากันมานั่งรอหน้ากุฏิของ “พระตุ๋ย” พระษัทฎพรรษ  หรือ พระครูวินัยธรษัทฎพรรษ อคฺคธมฺโม อายุ 52 ปี เพื่อรอรับคิวดูดวงและเสริมดวงชะตา สอบถามหลายคนบอกว่ามานอนรอกันหลายวัน บางคนเพิ่งเดินทางมาถึงและตั้งใจรอไม่ว่าจะกี่วัน แต่บางคนโชคดีมานอนคืนเดียวก็ได้เข้าดูดวง แล้วแต่จังหวะ ในแต่ละวันพระษัทฎพรรษ จะเปิดดูดวงเพียงวันละ 20 คนเท่านั้น เริ่มคิวแรกในเวลาตีสามจนครบ 20 คิว ก่อน 11.00 น. จากนั้นจะฉันเพลและพักผ่อน โดยรับดูดวงตามช่วงเวลาดังกล่าวทุกวันเว้นวันพระ

ในการดูดวงจะเป็นการคิดคำนวณตัวเลขจากชื่อสกุลมาดูประกอบกับเวลาตกฟากและลัคนาราศี ผลลัพธ์ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน หากเทียบผลคำนวณกับตำราโบราณแล้วพบว่าดวงไม่ดีหรือติดขัดอุปสรรคใด ก็จะแนะนำให้เปลี่ยนชื่อหรือสกุลเพื่อให้ตัวเลขคำนวนออกมาให้หนุนนำเสริมดวงชะตา ส่วนใครที่ไม่หนักหนามากนักก็ให้บูชาพระพุทธรูปตามกำลังศรัทธา

หญิงสาวที่เดินทางกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า เธอรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรแล้วดวงไม่ค่อยดีทั้งเรื่องส่วนตัวและธุรกิจ เมื่อเธอท่องอินเทอร์เน็ตก็พบว่ามีรายหนึ่งเดินทางมาดูดวงและเปลี่ยนชื่อกันทั้งบ้าน แม้บางคนในบ้านก็ไม่มีความเชื่อเรื่องสายมู แต่ปรากฏว่า เมื่อเปลี่ยนชื่อแล้วทุกอย่างดีขึ้น เธอจึงเดินทางมาบ้าง โดยมาถึงคืนวันที่ 12 กันยายน และจะได้คิวหลังตีสามของวันที่ 14 กันยายน เธอบอกว่าโชคดีที่ได้รอเพียงสองคืน เพราะมาทราบว่าบางคนต้องรอถึง 5 คืน ที่มาตั้งใจจะมาเปลี่ยนชื่อและนามสกุลเพื่อให้ชีวิตดีขึ้น ธุรกิจดีขึ้น ส่วนขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ไม่มีการแจกคิวอย่างเป็นทางการ โดยเมื่อมาถึงก็จะเจอคนที่รอก่อน ก็จะจัดคิวกันเองว่าใครมาก่อนหลัง ก็เป็นการพูดคุยตกลงกัน

ส่วนสาเหตุที่ต้องนอนรอที่วัดก็เพราะทางวัดระบุไว้ว่าระหว่างรอห้ามไปไหน ใครจะดูดวงต้องรอเอง จะจ้างคนมาเข้าคิวแทนไม่ได้เพื่อไม่ให้เอาเปรียบคนอื่น แต่ก็สามารถไปทานอาหารเข้าห้องน้ำได้ตามปกติ ส่วนหญิงสาวอีกรายเดินทางมาจากกรุงเทพมหานครเช่นกัน บอกว่า เธอเดินทางมาดูดวงที่กับพระอาจารย์เมื่อสิบปีก่อนและได้เปลี่ยนชื่อนามสกุลตามคำแนะนำ หลังจากนั้นมาเป็นประจำทุกปี ที่ผ่านมาเช็กดวงตลอดว่าติดขัดตรงไหน ทั้ง เรื่องสุขภาพ ธุรกิจ หรือ การตัดสินใจลงทุนธุรกิจ เมื่อต้องการคำแนะนำก็จะเดินทางมา ปีนี้พาแม่และเพื่อนแม่เดินทางมาด้วย เดินทางมาถึงเช้ามืดวันนี้โชคดีที่ได้นอนรอแค่หนึ่งคืนเพื่อจะได้คิวในวันถัดไป โดยเธอเชื่อว่าที่ผ่านมาการมาดูดวงช่วยเสริมดวงชะตาของเธอดีขึ้น ทั้งชีวิตส่วนตัวละการงานและที่สำคัญพระอาจารย์ไม่เคยเรียกปัจจัยใดๆจากผู้มาดูดวงแต่อย่างใด มีเพียงค่าขึ้นครู 99 บาท ส่วนใครจะบริจาคช่วยเหลือวัดก็ตามแต่จิตศรัทธา

เจ้าหน้าที่ดูแลวัด บอกว่า ปกติมีคนมาดูดวงตลอดทั้งปี แต่ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมามีคนเดินทางมาดูดวงกันมาก เกือบทั้งหมดจากกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด จึงจำเป็นต้องพักค้างแรมในพื้นที่ของวัดที่จัดให้ โดยมีการเช่ามุ้งหลังละ 100 บาทต่อคืน นอนได้หลังละ 2 คน หรือบางคนพอมีทรัพย์ ก็จะไปเช่าโฮสเทลใกล้วัดเป็นที่พักอาศัย เพื่อที่จะไม่พลาดคิวที่จองไว้ เพราะเมื่อถึงคิว หากมีการเรียกแล้วไม่อยู่ถือว่าสละสิทธิ์ในคิวนั้น และจะต้องไปจองคิวใหม่

นายวัลลภ นามวงศ์พรหม รองประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ ฝ่ายศาสนา วัฒนธรรมและ ประเพณี ให้ความเห็นเรื่องนี้ว่า พระสงฆ์กับการดูดวงชะตาเป็นของคู่บ้านคู่เมืองมานาน ในอดีต พระมหากษัตริย์และนักรบ เวลาจะออกรบหรือทำการสำคัญใดก็ต้องมีพระเกจิดูฤกษ์ยามเป็นธรรมดา โดยพระจะคำนวณลักษณะดวงดาวไปตามลัคนาราศี ถือเป็นศาสนสงเคราะห์ แต่มาภายหลังพระสงฆ์กับศาสนสงเคราะห์อาจแยกกันไม่ออก เพราะประชาชนในยุคนี้มีความทุกข์ ความไม่สมหวัง ก็พยายามหาที่พึ่งทางใจ เมื่อรู้ว่าพระที่ไหน ดูดวงแม่น ช่วยปัดเป่าความทุกข์ในจิตใจได้ก็จะมุ่งหน้าไป เป็นความเชื่อถือศรัทธาของในสังคมที่มีมานาน พระสงฆ์หลายรูปที่ดูดวงแล้วถูกต้องแม่นยำ สามารถให้คำแนะนำช่วยปัดเป่าความทุกข์ให้ได้ ผู้คนก็มีความสุขและบอกต่อๆ กันไป คนอื่นรู้ข่าวก็แห่กันไปหา ส่วนจะเหมาะสมหรือไม่ หากทำเป็นศาสนสงเคราะห์ ช่วยปัดเป่าสงเคราะห์ให้ก็ไม่เป็นไร แต่หากดูมีวัตถุประสงค์เพื่อทรัพย์สินเงินทองก็คงจะไม่เหมาะ ทุกวันนี้พระรูปไหนจริงไม่จริงก็ให้ใช้วิจารณญาณ แต่แนะนำว่าอย่าไปเสียเงินให้มากเกินไป หากต้องลงทุนลงเงินหมื่นเป็นแสนก็ไม่ถูกต้อง แต่หากพอเหมาะพอดี เป็นค่าครูบาอาจารย์แความสุขทั้งประชาชนและพระท่านก็มีความสุข ก็ไม่ถือว่าผิดอะไร 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook