“ภาวะฉุกเฉินทางการเรียนรู้” เมื่อการศึกษาไทยแขวนอยู่บนเส้นด้าย
Highlight
- รายงานฉบับพิเศษ “ห้องเรียนฟื้นฟูหลังโควิด-19” พบภาวะฉุกเฉินทางการเรียนรู้ของ “เด็กอนุบาล 3 ยุคโควิด-19” ว่าขาดความพร้อมเข้าเรียนในชั้นประถมต้น โดยสะท้อนจากผลวิจัยสถานะความพร้อมในการเข้าสู่ระบบการศึกษาของเด็กปฐมวัย ทั้งด้านทักษะพื้นฐานด้านภาษา ด้านคณิตศาสตร์ และทักษะการรู้คิดเชิงบริหาร
- ภาวะการเรียนรู้ถดถอย (Learning Loss) ในปี 2565 เป็นสถานการณ์ที่รุนแรง มีเด็กหางแถวและเกิดความเหลื่อมล้ำมากที่สุด และผู้ปกครองยังอ่านหนังสือให้เด็กฟังน้อยลงในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากขาดสื่อการเรียนรู้ ส่งผลให้ทักษะการเรียนรู้ของเด็กขาดหายไปกว่าร้อยละ 90
- เด็กไทย 1 ใน 4 หรือร้อยละ 25 มีพัฒนาการไม่สมวัย โดยพัฒนาการเด็กไม่สมวัยที่พบมากที่สุดคือพัฒนาการด้านการใช้ภาษา ร้อยละ 75.2 รองลงมาคือพัฒนาการด้านการเข้าใจภาษา ร้อยละ 60.1 และพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมัดเล็กและสติปัญญา ร้อยละ 47
- จากการสังเกตพฤติกรรมของเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จากห้องเรียน 74 โรงเรียน ในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ พบว่าเด็กนักเรียนจำนวน 98% มีแรงบีบมือต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของเด็กในวัยเดียวกัน โดยมีเด็กนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์เพียง 1.19% เท่านั้น และมีเด็กนักเรียนมากกว่า 50% จับดินสอผิดวิธี
การระบาดของโรคโควิด-19 ที่กินเวลานานกว่า 2 ปี ได้ทำให้สังคมไทยมองเห็นหลาย ๆ ปัญหาที่รุนแรงและชัดเจนมากยิ่งขึ้น หนึ่งในนั้นคือปัญหา “การศึกษา” ที่มักถูกหยิบยกมาพูดคุยและถกเถียงอยู่ตลอด แม้จะมีความพยายามแก้ไขปัญหาการศึกษาจากหลายภาคส่วน แต่ดูเหมือนปัญหาจะไม่หายไปไหน หนำซ้ำในขณะที่ปัญหาเก่า ๆ ยังไม่ถูกแก้ไข ปัญหาใหม่ ๆ ก็แทรกเข้ามา กลายเป็น “ภาวะฉุกเฉินทางการเรียนรู้” ที่ทุกคนในสังคมต้องร่วมมือกันแก้ไข
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับเครือข่ายโรงเรียนพัฒนาตนเอง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ และสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จึงจัดงานเสวนาวิชาการ “ภาวะฉุกเฉินทางการเรียนรู้หลังโควิด-19 แนวทางฟิ้นฟูรับเปิดเทอมใหม่” เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา
Sanook สรุปความจากงานเสวนา เพื่อสะท้อนภาวะฉุกเฉินที่บุตรหลานของพวกเราทุกคนกำลังพบเจอ
ภาวะฉุกเฉินทางการเรียนรู้
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้เผยแพร่รายงานฉบับพิเศษ “ห้องเรียนฟื้นฟูหลังโควิด-19” ซึ่งพบภาวะฉุกเฉินทางการเรียนรู้ของ “เด็กอนุบาล 3 ยุคโควิด-19” ว่าขาดความพร้อมเข้าเรียนในชั้นประถมต้น โดยสะท้อนจากผลวิจัยสถานะความพร้อมในการเข้าสู่ระบบการศึกษาของเด็กปฐมวัย (Thailand School Readiness Survey: TSRS) ทั้งด้านทักษะพื้นฐานด้านภาษา ด้านคณิตศาสตร์ และทักษะการรู้คิดเชิงบริหาร (Executive Functions: EFs) ของเด็กระดับอนุบาล 3 จำนวน 73 จังหวัด เปรียบเทียบระหว่างปี 2563 - 2565
รศ.ดร.วีระชาติ กิเลนทอง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) คณบดีคณะการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า ภาวะการเรียนรู้ถดถอย (Learning Loss) ในปี 2565 เป็นสถานการณ์ที่รุนแรง มีเด็กหางแถวและเกิดความเหลื่อมล้ำมากที่สุด พร้อมชี้ให้เห็นว่าผู้ปกครองอ่านหนังสือให้เด็กฟังน้อยลงในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากขาดสื่อการเรียนรู้ ส่งผลให้ทักษะการเรียนรู้ของเด็กขาดหายไปกว่าร้อยละ 90
“เด็กทำการบ้านน้อยลง อ่านหนังสือน้อยลง แต่อยู่กับมือถือมากขึ้น อันนี้ไม่รวมเวลาเรียนออนไลน์ มันพูดเป็นภาษาเดียวกันว่า เมื่อไม่ได้ไปโรงเรียน ขาดการพัฒนาผ่านโรงเรียน พอกลับมาอยู่ที่บ้านนาน ๆ ก็ไม่ได้รับการลงทุนที่เหมาะสม กลับได้ไปใช้อะไรที่มันอาจจะเป็นปัญหากับการเรียนรู้ มีปัญหากับการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก สิ่งที่เขาใช้มากขึ้นคือใช้เวลากับหน้าจอมากขึ้น มันก็สะท้อนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นปัญหา แล้วเราจะแก้ไขอย่างไร” รศ.ดร.วีระชาติกล่าว
นายแพทย์ธีรชัย บุญยะลีพรรณ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาอนามัยเด็กแห่งชาติ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้เผยข้อมูลจากการใช้คู่มือเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย หรือเด็กที่อยู่ในช่วงอายุต่ำกว่าชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งวัดแนวโน้มพัฒนาการเด็กปฐมวัยของประเทศไทย พบว่า เด็กไทย 1 ใน 4 หรือร้อยละ 25 มีพัฒนาการไม่สมวัย โดยพัฒนาการเด็กไม่สมวัยที่พบมากที่สุดคือพัฒนาการด้านการใช้ภาษา ร้อยละ 75.2 รองลงมาคือพัฒนาการด้านการเข้าใจภาษา ร้อยละ 60.1 และพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมัดเล็กและสติปัญญา ร้อยละ 47 ซึ่งคาดการณ์ว่าตัวเลขของพัฒนาการด้านการใช้มือหรือกล้ามเนื้อมัดเล็ก ที่เชื่อมโยงกับการเรียนรู้จะยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ ในเด็กปฐมวัยของไทย เนื่องจากการทดสอบพบว่า มีนิ้วที่แข็งแรงเหลืออยู่เพียงนิ้วเดียว คือ “นิ้วชี้” ที่เด็กใช้ในการเลื่อนหน้าจอสมาร์ทโฟน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลที่ทำการลงสำรวจก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 จึงมีแนวโน้มที่ปัญหาเรื่องพัฒนาการของเด็กจะแย่ลงกว่าเดิม
ภาวะกล้ามเนื้อบกพร่องในเด็กประถมต้น
จากงานวิจัยในพื้นที่เรื่อง “ภาวะกล้ามเนื้อบกพร่องในเด็กประถมต้น” ระบุว่า แรงบีบมือของเด็กที่อยู่เกณฑ์ปกติ จะอยู่ที่ 19 กิโลกรัม แต่จากการสังเกตพฤติกรรมของเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จากห้องเรียน 74 โรงเรียน ในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ พบว่าเด็กนักเรียนจำนวน 98% มีแรงบีบมือต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของเด็กในวัยเดียวกัน โดยมีเด็กนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์เพียง 1.19% เท่านั้น และมีเด็กนักเรียนมากกว่า 50% จับดินสอผิดวิธี สะท้อนว่ากล้ามเนื้อมือไม่แข็งแรง
“หลังเปิดเทอม 1/2565 เราก็ลงไปเยี่ยมโรงเรียน ลงครั้งแรกที่จังหวัดสงขลา ก็เจอผู้ปกครองว่าตอนนี้ลูกอยู่ ป.2 แล้ว แต่ตอนลูกอยู่ อ.3 ก็เหมือนลูกจะเขียนได้แล้ว แต่พออยู่ ป.1 ลูกเรียนออนไลน์ทั้งปี พอเปิดเทอมกลับมา กลับเป็นว่าลูกเขียนหนังสือไม่เป็นตัว พอไปจังหวัดปัตตานี คุณครูก็ลงมาบอกว่าปีนี้สาหัสมาก เขาสอนเด็ก ป.2 เด็กจับดินสอยังกำมืออยู่เลย พอไปอีกจังหวัดก็เป็นแบบเดิม เลยเป็นที่มาที่เราใช้เครื่องมือวัดแรงบีบมือ ขณะเดียวกันก็ให้นักเรียนเขียนด้วย” ผศ.พรพิมล คีรีรัตน์ โค้ชโครงงานฐานวิจัย (ป.4 - ม.3) โครงการสนับสนุนโรงเรียนพัฒนาตนเอง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เล่า
“นอกจากวัดแรงบีบมือ เราก็ดูการจับดินสอของเด็ก ให้เด็กเขียนให้ดู ก็จะเห็นว่าเด็กกำดินสอแน่นมาก แล้วดินสอก็เอียงขึ้น หรือว่าเอนไปข้างหน้า การจับแบบนี้ ช่วงระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้แน่นมาก เวลาที่เด็กเขียน เขาจะเขียนยาก มันจะเคลื่อนดินสอได้ยากาก เพราะถูกล็อกอยู่ แล้วเด็ก ๆ จะเขียนไปแล้วก็จะคลายมือเพราะเมื่อย” ผศ.พรพิมลอธิบาย
หลังค้นพบปัญหา จึงได้ริเริ่มโครงการ PSU ครูรักศิษย์ ครั้งที่ 7 “การพัฒนาฐานกาย” โดยโรงเรียนวัดมุจลินทวาปีวิหาร (เพชรานุกูลกิจ) อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี เป็นหนึ่งในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ ที่หลังจากการฟื้นฟูต่อเนื่อง ก็พบว่าค่าแรงบีบมือของเด็กนักเรียนมีเพิ่มมากขึ้น 0.5 - 2 กิโลกรัมในเวลาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น
ด้าน ผศ.อัมพร ศรประสิทธิ์ โค้ชโครงงานฐานวิจัย (อนุบาล - ป.3) โครงการสนับสนุนโรงเรียนพัฒนาตนเอง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ สะท้อนว่า “ความทุกข์หนึ่งของเด็กคือพอเขาเขียนแล้ว เขาเขียนช้า เขียนแล้วเหนื่อย เขียนแล้วเมื่อย คือมันไม่สนุก นั่นเป็นส่วนหนึ่ง แต่จากการที่เขาเขียนไม่ได้ ก็เท่ากับเขาทำงานไม่สำเร็จ เขาก็ไม่อยากมาโรงเรียน แล้วความทุกข์อีกอย่างของเด็กในห้องเรียนคือ พอเปิดเทอมมา เขาออกจากโลกที่เขาอยู่บ้าน บางคนเป็นลูกคนเดียว บางคนมีพี่น้องไม่กี่คน เปิดเทอมมาปุ๊บ เจอคนแปลกหน้าเต็มไปหมดเลย เจอพร้อม ๆ กันทีเดียวหลายคนในห้องเรียน หลบมุมดีกว่า ทั้งหมดนี้ทำให้เด็กรู้สึกว่าเขาไม่เชื่อมั่น เขาไม่สามารถไว้วางใจร่างกายของเขาได้เลย ว่าเขาสามารถจะทำอะไรที่คุณครูให้ทำได้ สุดท้ายเด็กขาดเรียนมากกว่าครึ่งห้อง บางวันมาครึ่งห้อง แล้วก็ผลัดกันขาด คนที่มาโรงเรียนก็ขอไปห้องพยาบาลบ่อยมาก ปวดหัว ปวดท้อง นี่คือสิ่งที่เด็กไม่รู้จะบอกเรายังไง”
การเล่นด้วยกระบวนการวิทยาศาสตร์
รศ.ไพโรจน์ คีรีรัตน์ โค้ชโครงการสนับสนุนโรงเรียนพัฒนาตนเอง (TSQP) เครือข่ายมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เสนอแนวทางแก้ปัญหาภาวะกล้ามเนื้อบกพร่องในเด็ก โดยเฉพาะการจัดการเรียนการสอนเชิงรุกด้วย “กระบวนการทางวิทยาศาสตร์” และโครงการฐานวิจัย เนื่องจากวิทยาศาสตร์คือตัวขับเคลื่อนการเรียนรู้ อย่างไรก็ตาม การจะทำให้สำเร็จได้จำเป็นต้องมีมหาวิทยาลัย โรงเรียน และหน่วยงานด้านการศึกษาที่กำกับดูแล มาร่วมมือกัน
“เราให้คุณครูใช้เรื่องการเล่นด้วยกระบวนการวิทยาศาสตร์ เด็ก ป.1 - 3 เป็นวัยที่ยังโหยหาการเล่น ซึ่งเราจะเห็นว่าเด็กกลุ่มนี้ อยู่ในห้องก็จะวิ่งไล่จับกัน แล้วก็ชอบไปเล่น โดยเฉพาะหลังจากน้องอนุบาลกลับบ้าน ก็จะไปเล่นที่สนามเด็กเล่นของน้อง พูดง่าย ๆ คือเขาเป็นวัยที่ขาดพื้นที่ในการเล่น ขาดอุปกรณ์ในการเล่น เพราะฉะนั้น เราบอกว่าเราจะพัฒนาฐานกายให้เสร็จ แล้วค่อยมาทำเรื่องการเรียนการสอนก็ไม่ได้ เราจึงต้องทำคู่ขนานกันไป บูรณาการไปทีเดียว ซึ่งทักษะวิทยาศาสตร์แท้จริงก็คือกระบวนการเรียนรู้ตามธรรมชาติของมนุษย์ เวลาเรียนรู้อะไรต้องใช้การสังเกต นั่นคือการรวบรวมข้อมูล แล้วนำไปสู่การคิดว่าทำอย่างนั้นดีไหม แล้วก็ทดลองทำ สุดท้ายก็สรุปออกมาเป็นประสบการณ์ เป็นความรู้” ผศ.อัมพรอธิบาย
การใช้โมเดลพัฒนากล้ามเนื้อมือในระยะเวลา 6 เดือน สู่การพัฒนาคุณภาพนักเรียน ถือเป็นการนำร่องที่สำคัญ และคาดว่าจะสามารถช่วยทำให้นักเรียนพัฒนากล้ามเนื้อได้เพิ่มขึ้น 0.5 - 1.5 กิโลกรัม ภายใน 1 เดือน และมีค่าแรงบีบมือตามเกณฑ์มาตรฐานเป็นปกติ คือ 19 กิโลกรัม ภายใน 6 เดือน ซึ่งหากนำร้องได้สำเร็จ ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของบทพิสูจน์ว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการศึกษา
“ถ้าเรายังไม่วางรากฐานของตัวฐานกาย ที่ง่ายที่สุดเรายังทำไม่ได้ เราก็คิดว่าเรื่องอื่นก็คงจะยาก แต่ว่าอันนี้เป็นบทพิสูจน์ประเทศไทย และการศึกษาไม่ใช่เรื่องของโรงเรียนอย่างเดียว เพราะฉะนั้น ผู้ปกครอง ชุมชน ก็ต้องเข้ามาช่วยเหลือ แต่ควมสำคัญคือการเรียนรู้ร่วมกันของคนในสังคม” รศ.ไพโรจน์กล่าว
แนวทางการฟื้นฟูรับเปิดเทอมใหม่
ผศ.พรพิมลและผศ.อัมพร สะท้อนตรงกันว่า ครูก็ต้องการ “เพื่อนร่วมเดินทาง” ในโลกการศึกษาหลังโควิด-19 ซึ่งนอกจากเพื่อนครูที่จะต้องช่วยเหลือกันแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จำเป็นต้องให้การช่วยเหลือและสนับสนุนคุณครูทั่วประเทศ พร้อมฝากเฟสบุ๊กแฟนเพจ “คิดดี-คิดเป็น ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง” สำหรับเป็นตัวช่วยให้กับคุณครูได้ศึกษาวิธีการและแนวทางในการสร้างกระบวนการเรียนรู้ในชั้นเรียน ให้สามารถช่วยเหลือเด็กนักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือได้ นอกจากนี้ พ่อแม่ผู้ปกครองที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักก็จำเป็นต้องร่วมด้วยช่วยกัน
“พ่อแม่ผู้ปกครองก็ต้องร่วมด้วยช่วยกันอีกแรงหนึ่ง เพราะเวลาที่เด็กอยู่โรงเรียน ก็ระยะเวลาหนึ่ง 5 - 6 ชั่วโมง แต่เวลาส่วนใหญ่ก็จะอยู่ที่บ้าน อย่าปล่อยให้ภาระนั้นเป็นของคุณครูเพียงฝ่ายเดียว เห็นใจครูด้วย เพราะครูเหนื่อยมาก ถ้าเราช่วยกันก็คิดว่าประเทศไทยยังมีความหวัง” ผศ.พรพิมลสะท้อน
ด้านรศ.ไพโรจน์ ก็หยิบยกเรื่องงบประมาณที่ยังขาดแคลนในการแก้ไขปัญหา เช่นเดียวกับเรื่องการขาดแคลนครู ที่เด็กนักเรียนจำต้อง “ไม่ขาดครูแม้แต่ชั่วโมงเดียว” ที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว พร้อมระบุว่า “ถ้าตรงนี้ยังทำไม่ได้ ก็อย่าคิดเลยว่าทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทยจะเข้มแข็งเหมือนกับประเทศข้างเคียง เราจำเป็นต้องใช้วิธีการคิดแบบใหม่ ถ้าเรายังใช้รูปแบบเดิม เราก็จะช้า ต้องรอเวลาสองชั่วอายุคน แต่โลกปัจจุบัน เราต้องการความควดเร็วและแก้ปัญหาได้เลย”
ขณะที่รศ.ดร.วีระชาติ ชี้ว่า การแก้ไขปัญหาสามารถทำได้ด้วยการเปิดเรียนช่วงซัมเมอร์ และการปรับการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับความพร้อมของเด็กนักเรียน เช่นเดียวกับการพัฒนาทักษะในการอบรมและเลี้ยงดูของผู้ปกครอง พร้อม ๆ กับการยกระดับการศึกษาปฐมวัยให้เป็นแบบ active learning
“จินตนาการว่าเด็กรุ่นที่อยู่กับโควิด-19 แล้วเราไม่ทำอะไรเลย เขามีภาวะถดถอยไปเรื่อย ๆ เขาก็จะแย่กว่ารุ่นก่อน แย่กว่ารุ่นหลัง มันจะเป็นเหมือนหลุมลงไป เขาไม่สามารถแก้ตัวได้ว่าเขาเป็นรุ่นนี้ ในมุมของผมนี่คือ Lost Generation ถ้าเราไม่ทำอะไร มันน่าเป็นห่วง ผมคิดว่านี่คือเหตุผลว่าทำไมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องให้ความสนใจ แต่การแก้ปัญหานี้ เราต้องทำเหมือนวิ่งมาราธอน เราต้องแก้กันไปยาว ๆ” รศ.ดร.วีระชาติกล่าวปิดท้าย