"ม้า อรนภา" แถลงเปิดใจ ปมดราม่าชวนนักแสดงหน้าใหม่กินปู ยันแค่แตะไม่ได้ตบ
ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวเพื่อชี้แจงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นแล้ว สำหรับอดีตพิธีกรชื่อดัง ม้า-อรนภา กฤษฎี ถึงประเด็นดราม่าเมื่อถูกอ้างว่าเจ้าตัวตบนักแสดงหน้าใหม่ที่ประเทศเกาหลี เหตุเพราะชวนไปกินปูแต่อีกฝ่ายไม่ยอมไป
โดย ม้า อรนภา ได้เผยกับสื่อมวลชนไว้ว่า "ตั้งแต่ตอนที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น พี่ได้พยายามเขียนและคิดว่าจะโพสต์ แต่พอมาคิดดูอีกทีก็มีคนให้ความคิดเห็นข้างๆ พี่อยู่ตลอดเวลาว่าอย่าเพิ่ง วันนี้พี่เลยจะอ่านสิ่งที่พี่เขียนไว้ให้ฟังก่อน"
"ก่อนอื่นพี่ต้องขอโทษจริงๆ พี่เสียใจมากๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ยอมรับผิดแน่นอนค่ะ พี่ได้ขอโทษน้องไปแล้ว เราได้ปรับความเข้าใจกันทั้งหมดจนน้องและเราเข้าใจกันแล้ว แต่ไม่ทราบว่าหลังจากนั้นน้องยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ติดคาใจเขาอยู่ ทำให้มีการไปปรึกษาทนายหลายๆคน"
"หลังจากที่เกิดเรื่องเรายังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันหลายวันเลย แต่วันหนึ่งมีการนำเสนอเรื่องนี้ขึ้น พี่เลยพยายามติดต่อน้องแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ จนเราติดต่อไปที่ ผจก. คนเก่าของเขา"
"พอเราได้พูดคุยกันแล้ว เราก็ตกใจมากกับการนำเสนอข่าว น้องไม่กล้ามาเจอกัน"
"สิ่งหนึ่งเลยพี่ต้องขอโทษคุณพ่อคุณแม่ของเขา และพี่ต้องขอโทษกับสิ่งที่ผิดทำผิดและทำให้ผิดหวังในตัวพี่ แต่อย่างหนึ่งอยากให้รับฟังเราทั้งสองคนจากปากเลย อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น สุดท้ายพี่ขอยอมรับในสิ่งทีเกิดขึ้น"
"อันนี้คือสิ่งที่พี่เขียนไว้ อยากโพสต์ แต่ต้องเงียบไว้ก่อน ในขณะที่มีกระแสวิจารณ์รุนแรง ก็ไม่รู้จะตอบโต้ยังไง"
"พี่ทำมาร์เก็ตติ้งให้กับ รพ. ที่เกาหลี เพราะเขาดูแลพี่มาตั้งแต่แรกและดูแลดีมาก มีคนขอให้แนะนำไป พี่เลยทำ ทุกครั้งเวลาพี่ไป พี่จะไม่อยู่นิ่ง เราควรจะไปกินอะไรที่ไหน อะไรอร่อย ไปดูอะไร เกาหลีใต้มีอะไร เราจะสืบเซาะ จนกระทั่งเพื่อนๆ ขอไปด้วย ทุกคนก็บอกว่าสนุก ดังนั้นที่ทุกๆ ครั้งที่พี่มีคนที่พี่จะต้องดูแล พี่จะทำแบบนี้ตลอดเวลา แล้วมาไม่ได้ทำ 3 ปีเพราะโควิด"
"ทริปนี้ทริปแรก พี่รู้จักเขาเพราะผู้จัดการแนะนำ พี่บอกเขาเป็นคนหล่อ แต่โหงวเฮ้งยังไม่ได้ตรงจมูกที่งุ้ม เขาก็ได้ไปปรึกษาแพทย์เรียบร้อยแต่ยังไม่ได้มีการนัดหมายหรือมัดจำอะไรทั้งสิ้น พี่ไม่ได้ติดใจอะไร ก็ปล่อยไป วันหนึ่งผู้จัดการบอกว่าน้องเขาจะไปแล้ว ให้น้องติดต่อมา พี่เลยจัดการทำให้เรียบร้อยทุกสิ่งทุกอย่าง เราต้องใช้เวลาในการติดต่อ"
"เขาบอกผมขอไปเที่ยวก่อน 2 วันได้ไหม ก่อนทำ ให้พี่ช่วยพาไปด้วยนะ เราก็บอกไม่มีปัญหา มันเข้าทางเราอยู่แล้ว เราต้องดูแลอย่างคบถ้วน ก่อนทำ ทำ หลังทำ ดิฉันจะเป้นคนจัดสรรทุกสิ่งอย่าง หาข้าวหาน้ำ ดูแลแบบสุดๆ ให้เกิดความประทับใจ ไม่เสียชื่อเสียง"
"ทุกครั้งเวลาเราจะทำอะไร เราจะถามผู้ร่วมทางด้วยตลอดเวลา เขารู้หมดแล้วว่าจะต้องไปไหนเพราะเขาเป็นลูกค้า ไปถามได้ทุกคน ทุกครั้งที่ไปดิฉันจะมีจรรยาบรรณในการทำงานของดิฉัน ดิฉันจะไม่บอกว่าเป็นใครเด็ดขาด และยิ่งเป็นเคสที่จะต้องเข้าวงการในอนาคตก็ยิ่งจะไม่พูดให้ด่างพร้อยเด็ดขาด"
"เรานัดหมายกันไว้แล้วเรียบร้อย เราทักเตือนเขาตลอดให้จอง แต่สุดท้ายน้องก็พลาดในการบินไปไฟ้ท์เดียวกับเราเพราะมันเต็ม เลยต้องไปไฟ้ท์อื่น ซึ่งต้องไปถึงก่อนดิฉัน 2 ชม. เราก็บอกให้รอนะ จะได้เอารถมารับทีเดียว ก็โอเคได้เจอกัน"
"ตอนจะไปทานอาหารค่ำเราก็ถามเขานะอยากไปเที่ยไหน อยากไปทำอะไร เอาอย่างนี้ไหม โรงแรมอยู่ใกล้วัด ไปไหว้พระขอพร แล้วอยากไปไหนต่อ อยากดูอะไร ชอบเมียนดงแน่ๆ เลย งั้นไปโซลทาวเวอร์ก่อน ไปหาอะไรกินกันก่อน เขาก็ดีใจมาก เราก็ถามเขานะไปกินปูต่อไหม เรารู้จักทุกร้าน"
"แต่ช่วงที่เราไปร้านปิดเยอะมาก เลยต้องให้โรงแรมที่ไปพักโทรเช็กให้หน่อยว่าเปิดไหม สรุปร้านนั้นเปิด เราเลยโอเคเดี๋ยวจะไปกินปูก่อนที่น้องจะเข้าผ่าตัดอีกวัน แล้วต้องกินเร็วหน่อย เพราะน้องต้องงดอาหาร เราก็อธิบายไป"
"ช่วงที่ไปโซลทาวเวอร์ก่อนจะไปเมียนดงน้องพูดว่า เดี๋ยวเราแยกกันไหม ผมเกรงใจแม่ ผมแวะบ่อย ถ่ายรูปนู่นนี่นั่น เราก็บอกไม่ต้องเกรงใจ เดี๋ยวข้างล่างจะมีร้านให้นั่งรอ แล้วให้น้องไปช้อปปิ้งเต็มที่ ดิฉันก็อยู่ 2-3 ชม. แต่ดิฉันแฮปปี้นะ นั่งเพลินๆ แต่พอมันนานมาก ดิฉันก็รู้แล้วว่าท่าทางจะหิว เราเลยสั่งของไว้เผื่อเขา"
"เขาซื้อของมาเยอะมาก 5-6 ถุง เราก็ถามมีรองเท้าด้วยเหรอ เรากำลังจะไปภูฎานอยากได้รองเท้าเหมือนกัน ก็ถามเขา แต่เราถามเขาตลอดนะว่าไหวไหม เพราะของเขาซื้อมาเยอะมาก เขาก็บอกไหวครับ พอเดินไปข้างในดิฉันเห็นเขาถือของเยอะเหลือเกิน ก็ถามย้ำว่าไหวไหม ถ้าไม่ไหวจะได้เปลี่ยนแผน เขาก็บอกไหวครับ พอไปร้านรองเท้าก็ซื้อของของดิฉัน"
"พอซื้อเสร็จก็ต้องไปกินอาหารต่อ ประโยคที่เขาพูดมาคือบอก ไม่กินปูแล้วนะ เราก็เอามือสะบัดไปหาเขาบอกว่า จะบ้าเหรอ คือดิฉันเป็นคนมือไว ดิฉันจะตบแบบหัดฟังๆ ไม่ได้ฟาดนะ ไม่ได้โมโห หนึ่งเลยคือมือเราไวไง เธอต้องฟังฉันก่อน"
"น้ำหนักมือประมาณไหน คือแค่เห็นในคลิปก็น่าจะพอรู้แล้วไหมว่ามันคืออะไร เขาก็บอกตบหน้าผมเลยเหรอ เราก็ตกใจ บอกเออใช่ เราก็บอกขอโทษๆ เขาบอกถ้าเป็นคนอื่นผมด่าไปแล้วนะ คือเราแค่ตกใจว่าทำไมอยู่ๆ ต้องเปลี่ยนแผน ถ้าไม่ไปก็บอกก่อนสิ เพราะดิฉันถามย้ำมาตลอดนะว่าไหวไหม"
"ไม่ได้ตบนะ แตะ ไม่ใช่ฟาดแรงๆ ไม่ได้โมโหหิว จะมาหิวอะไร เพราะดิฉันก็นั่งกินของรอเขาอยู่ก่อนหน้า"
"เขาบอกทำแบบนี้ไม่ได้ ผมโกรธมาก ดิฉันเลยบอกขอโทษ ไมได้ตั้งใจ เขาบอกให้ปล่อยผมอยู่คนเดียว เราก็เลยปล่อยเขาไป แต่ยังเดินตามอยู่ ก็ปล่อยให้เขาสงบสติอารมณ์ จากนั้นก็เดินไปจับมือเขาแล้วบอกขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ ไมได้ตั้งใจ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราถามแล้ว ถามมาตลอด และก็ไมได้ปฏิเสธอะไรทั้งสิ้น แต่อยู่ๆ มาพูดแบบนี้ไม่ได้"
"น้องต้องเข้าใจนะ การอยู่ร่วมกับคนส่วนมากเราต้องปรับคนละครึ่ง ก่อนหน้าไม่ได้มีสัญญาณอะไรบอกด้วยว่าจะไม่ไป เราก็สอนเขาหลายๆ อย่าง แต่ก็ขอโทษตลอด รู้สึกผิดจริงๆ เขาก็บอกได้ครับ ผมเข้าใจ เรื่องนี้ผมจะไม่บอกใคร แม้กระทั่งพี่ผู้จัดการส่วนตัวเขาเอง"
"คุยกันสักพัก จนกระทั่งทุกอย่างมีความเข้าใจหมดแล้ว เขาก็บอกว่าจริงๆ ผมเข้าใจแม่นะ ขอบคุณมากที่สอนผม และเขาก็กอดผม เขาก็บอก ไปกินปูกันครับ ดิฉันก็โอเค ไปก็ไป เราก็พูดกันหลายร้อยเรื่อง"
"เขาบอกจริงๆ อยากจะกลับไปดูละคร ถ้ากลับไปจะทันไหม เราก็บอกได้อยู่เพราะเวลาที่นี่กับไทยจะต่างกัน พอถึงโรงแรมเราก็บอกเดี๋ยวเจอกัน 11.30 น. เพื่อไปพบแพทย์เข้าห้องผ่าตัดในตอนนั้น เราก็บอกห้ามกินหรือดื่มอะไรก่อนผ่าตัด 6 ชม. นะ"
"พอตอนเช้าก็โทรปลุก เราก็ถามไปไหนมาไหมเมื่อคืน เขาบอกก็ไป แต่ไม่ได้ดื่มอะไรนะ เราก็โอเค จะไปถึงโรงพยาบาลเราก็ส่งเขาเข้าห้องผ่าตัด ตอนเย็นก็กลับมารับ เขาก็ไม่ได้มีอาการแย่มากเพราะทำแค่จมูก กลับมาก็ปล่อยให้เขานอน พอตอนเย็นเราก็โทรถามเขาเป็นยังไงบ้าง จะไปกินอะไรไหม เขาก็บอกไม่ เราก็บอกโอเคมีขนมปังก็กินแล้วก็อย่าลืมกินยานะ"
"พอตอนเช้าเราก็โทรถามกินอะไรหรือยัง เขาก็บอกครับ เดี๋ยวผมก็กินแล้ว เราก็ด้วยความเป็นห่วงเลยไปเคาะห้องอยากอัปเดตเขาด้วย เขาก็ยังคุยดีอยู่ เราก็ทักถามเขาตลอดว่ากินข้าว กินยาหรือยัง มันเป็นกฎที่เข้มงวดมาก จนกระทั่งวันที่ล้างแผลเรานัดกัน ยังคุย ยังถ่ายรูปกันอยู่ ยังปกติกันทุกอย่าง"
"แต่พอล้างแผลเสร็จ เขาก็บอกเดี๋ยววันที่ 29 พ.ย. เจอกันครับ เราก็ยังถามเขาอยู่จะไปไหนไหม เขาก็บอกเดี๋ยวเดินแถวนี้ เราก็โอเค"
"อยู่ๆ ก็มีข่าวจากทนายที่โพสต์ มีคนโทรมาบอกให้รีบออกจากประเทศเดี๋ยวนี้ เพราะน้องไปแจ้งความ เราก็งงเกิดอะไรขึ้น แล้วมีทัวร์มารุมด่าดิฉันเยอะมาก แต่ดิฉันชินแล้วค่ะ"
"ส่วนทางเกาหลีก็ไม่ได้มีอะไรค่ะ จนกระทั่งมีคลิปออกมา ดิฉันยังลงรูปปกติเลยนะ แล้วก็ต้องปล่อยน้องไปแล้ว"
"ที่บอกน้องไปแจ้งความที่เกาหลี จนถึงตอนนี้ยังไม่มีอะไรเลยค่ะ ไม่งั้นดิฉันจะออกมาได้ยังไงคะ ที่เขาไปแจ้งความอาจจะเพราะไปขอกล้องวงจรปิดเพื่อเอาไปเป็นหลักฐาน อันนี้เป็นความคาดเดานะคะ"
"หลังจากที่มีเรื่องราวดิฉันโทรหาเขาทันที แต่เขาไม่รับ ซึ่งดิฉันคุยกับผู้จัดการเขาตลอดนะ ตอนนั้นมีข่าวออกมาว่าน้องหนีไปแล้วเพราะกลัวดิฉัน ดิฉันเลยต้องจัดการไปที่ฟร้อนทันที เขาไปเช็กดูบอกว่าไม่มีอะไร แต่พอมาดูอีกทีคือของน้องไม่อยู่แล้ว"
"วันที่ 29 พ.ย. ก็ได้เจอตัวเลยเพราะน้องต้องไปตัดไหม เขาบอกพี่คงไม่เครียดหรอกเนอะ เพราะพี่ผ่านอะไรมาเยอะ แต่ผมเครียดมาก ไม่เคยคิดว่าจะเรื่องราวใหญ่โต เขาแค่อยากสั่งสอนเขาเท่านั้นว่าไม่อยากให้ไปตบหน้าใคร ซึ่งดิฉันก็ได้รับสิทธิ์นั้นแล้ว"
"ดิฉันถามผู้จัดการพ่อแม่เขาว่าเขาว่ายังไง ซึ่งทางพ่อแม่เขาเข้าใจ และเขาบอกจะขอไปคุยและเจอในรายการหนึ่งแล้วกัน"
"ที่ดิฉันพูดมาทั้งหมดคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพาร์ทดิฉันค่ะ ดิฉันคิดว่าจริงๆ เรื่องมันน่าจะจบตั้งแต่วันที่ยืนเคลียร์กันหน้าถนนและดิฉันขอโทษไปแล้ว เขายังมากอดและบอกไปกินปูกันเลย"
"เขาแค่ไปขอคลิป ไม่ได้เป็นคดีความใดๆ"
"พี่ดีกับเขาเสมอนะ ส่วนน้องพี่ไม่รู้ เขาอาจจะไม่แฮปปี้ก็ได้ไม่งั้นคงจะไม่ทำแบบนี้"
"เราไม่ได้ตบนะ ใช้คำว่าแตะ เหมือนแม่ลูกสั่งสอนกัน แต่ดิฉันไม่รู้ว่าอะไรที่ยังคาใจเลยทำให้เป็นเรื่องใหญ่แบบนี้ เดี๋ยวน้องจะได้คุยกันพรุ่งนี้ค่ะ ไปเจอกันในรายการคุยแซ่บโชว์"
"ยืนยันไม่ได้มีเรื่องชู้สาวหรือเกินเลยอะไรอย่างแน่นอน พี่แก่ขนาดนี้แล้ว จะบ้าเหรอ อย่าไปคิดแบบนั้นเลย"
อัลบั้มภาพ 12 ภาพ