รวบ 4 ใน 7 แก๊งปล้นตู้เซฟ 5 นาที กวาดร่วมล้าน ช็อกหลานแท้ๆ เป็นหนอนบ่อนไส้
รวบแล้ว 4 ใน 7 แก๊งปล้นยกตู้เซฟ 5 นาที กวาดร่วมล้าน ที่แท้หลานเป็นหนอนบ่อนไส้ เผยวางแผนหากพบคนในบ้านอาจถึงตาย
จากกรณีคนร้าย 6 คนร้าย บุกเข้าไปที่บ้านหลังหนึ่ง หมู่ 3 ตำบลบ้านราม อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช เจ้าของบ้าน คือ นายเฉลียว อายุ 76 ปี และ นางปราณี อายุ 73 ปี สองสามีภรรยาโดยรอบบ้านนั้นลูกหลานได้ติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ถึง 6 ตัว ซึ่งเป็นกล้องที่สามารถบันทึกภาพคนร้ายขณะก่อเหตุไว้ได้ทั้งหมด
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 ก.ย. ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 11.20 น. โดยคนร้ายก่อเหตุเพียงประมาณ 5 นาที เข้ามาเอาตู้เซฟที่บรรจุทรัพย์สิน มูลค่าร่วม 1 ล้านบาท ไว้หลบหนีไปอย่างลอยนวล ขณะที่ไม่มีใครอยู่ในบ้าน
หลังจากผ่านไป 3 เดือน ครอบครัวของตายายเริ่มร้อนใจ เปิดเผยข้อมูลกับผู้สื่อข่าว ประกอบกับเจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าวงจรปิดเสีย ยิ่งสร้างความไม่มั่นใจในการติดตามคนร้าย หลังจากที่กลายเป็นข่าวโด่งดัง ปรากฏว่าตำรวจใช้เวลาเพียง 4 วัน สามารถติดตามคนร้ายมาได้ 4 ราย
ความคืบหน้าล่าสุด วันนี้ (2 ธ.ค.) เมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัว นายวีรยุทธ หรือ โก้ อายุ 38 ปี หนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้ตั้งแต่วานนี้ (1 ธ.ค.) นำไปชี้จุดที่ได้นำตู้เซฟที่ถูกตัดผ่าแล้วไปทิ้งในบ่อทราย ท้องที่ตำบลควนพัง อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ห่างจากจุดเกิดเหตุไปราว 40 กิโลเมตร ท่ามกลางความสนใจจากชาวบ้านในพื้นที่จำนวนมาก
เจ้าหน้าที่ต้องใช้รถตักยกขึ้นมาจากน้ำ เนื่องจากตู้เซฟมีน้ำหนักถึงราว 400 กิโลกรัม อยู่ในสภาพถูกเจาะพังยับเยิน ก่อนที่เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจะเข้าเก็บหลักฐานอย่างละเอียด หลังจากนั้นได้เคลื่อนย้ายมายัง สภ.หัวไทร
โดยที่ สภ.หัวไทร ผู้เสียหาย นายเฉลียว อายุ 76 ปี และ นางปราณี อายุ 73 ปี ได้มารอดูผู้ก่อเหตุ และระบุว่าดีใจที่เจ้าหน้าที่จับกุม 4 คนร้ายไว้ได้แล้ว พร้อมทั้งยึดทรัพย์สินมาได้ส่วนหนึ่ง
แต่ที่เสียใจคือ นายธวัชชัย อายุ 38 ปี หลานชายแท้ๆ กลายเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาที่ชักพาคนร้ายมาก่อเหตุ ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกัน โดยก่อนเกิดเหตุไม่นานยังมารับไปร่วมงานศพเพื่อนบ้าน และหลังจากเกิดเหตุแล้วยังวนเวียนมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งความแตก
ขณะที่เจ้าหน้าที่ได้คุมตัวผู้ต้องหาอีก 2 ราย คือ นายภูริวัฒน์ หรือ เจมส์ อายุ 30 ปี และ นายรัฐมนูญ อายุ 29 ปี เร่งสอบสวนอย่างละเอียดในรูปคดี รวมทั้งพฤติการณ์ที่เกิดเหตุ
ส่วน นายชัยรัตน์ อายุ 56 ปี แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าได้รับส่วนแบ่งเป็นเงินสดมาเพียง 8,000 บาทเท่านั้น และยังบอกด้วยว่าโชคดีที่ไม่ใครอยู่บ้านขณะเกิดเหตุ เนื่องจากมีผู้ร่วมทีมบางรายระบุว่าหากพบว่ามีคนอยู่ในบ้านจะต้องจับมัด และอาจต้องทำให้เสียชีวิตเพื่อเป็นการปิดปาก
ส่วนผู้ต้องหาที่หลบหนีในขณะนี้และถูกออกหมายจับในคดีเดียวกันนี้คือ นายธวัชชัย อายุ 38 ปี หลานชายของนางปราณี ผู้เสียหาย, นายปัญญา อายุ 41 ปี และ นายธวัชชัย อายุ 39 ปี รวมผู้ต้องหาในคดีนี้ทั้งหมด 7 ราย
ส่วนบริเวณด้านหน้า สภ.หัวไทร ได้มีครอบครัวของผู้ต้องหา 3 ราย ได้มารอที่จะเข้าเยี่ยมผู้ต้องหา และเมื่อพบกับนางปราณี ผู้เสียหาย ภรรยาของผู้ต้องหาได้เข้าไปยกมือไหว้ขอโทษนางปราณี และระบุว่าครอบครัวไม่มีใครรู้ระแคะระคายเลยว่าเรื่องนี้เกิดขึ้น ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไปถึงบ้านแล้วยังเข้าใจว่าเขาไปธุระอย่างอื่น หรือสามีอาจไปยุ่งเรื่องยาเสพติด มารู้ทีหลังว่าไปก่อเหตุนี้มา
ขณะที่ ภรรยาของนายวีระยุทธ หรือ โก้ ระบุว่า เมื่อ 3 ปีก่อน นายโก้ทำงานอยู่ในบริษัทแห่งหนึ่งที่ภูเก็ต หลังจากเกิดโรคโควิดได้ถูกปลดออกกลับมาอยู่ในหัวไทรเลี้ยงกุ้ง แต่ไม่ทราบว่าไปได้รับการชักชวนจากกลุ่มเพื่อนหรือใครบ้างมาก่อเหตุ ที่บ้านก็ไม่มีทองหรือเงินที่ได้มามีเพียงปืนขนาด .38 แค่ 1 กระบอก ที่เจ้าหน้าที่ยึดไปได้ ทราบว่าเป็นของผู้เสียหาย ส่วนรถที่ก่อเหตุนั้นได้นำไปขายในเต็นท์รถแล้วแต่ไม่ทราบว่าที่ไหน
ด้าน นายวีรยุทธ หรือ โก้ ยอมรับว่า นายธวัชชัย หรือ เมฆ หลานชายของผู้เสียหาย เป็นผู้วางแผนและมาชักชวน โดยทราบว่าวางแผนล่วงหน้ามาราว 2 เดือน แต่มาชวนตนเองประมาณ 7 วันก่อนเกิดเหตุ
ส่วนตู้เซพหลังจากได้ไปแล้ว มี 4 คน ได้ช่วยกันตัดเปิดและเอาทรัพย์สินในตู้ออกมาแบ่งกัน มีทองรูปพรรณหลายเส้น พระเครื่องเลี่ยมทองหลายองค์ อาวุธปืน เงินสด สำหรับพระเครื่องเลี่ยมทอง และทองคำรูปพรรณบางส่วนนั้นได้นำไปฝากญาติไว้ ทราบว่าขณะนี้เจ้าหน้ากำลังไปตรวจยึด
ส่วนสาเหตุที่ นายธวัชชัย หรือเมฆ บอกนั้น ไม่ได้มีความขัดแย้งหรืออะไร บอกว่าป้ามีฐานะดีป้ารวย แต่ไม่เคยให้เงินให้ทองกับเขา เขาจึงชักชวนไปก่อเหตุ ส่วนอาชีพของนายธวัชชัยนั้นทราบว่าเป็นข้าราชการ และไม่ทราบว่าหน่วยงานอะไร
ขณะที่ พลตำรวจตรี สมชาย ซื่อต่อตระกูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช ระบุว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้นิ่งนอนใจ หลังจากเกิดเหตุได้เร่งสืบสวนมาโดยตลอด จนกระทั่งนำไปสู่การจับกุม ซึ่งอาจไม่ได้สื่อสารกับผู้เสียหายในบางประเด็น จนก่อให้เกิดความเข้าใจไม่ตรงกัน
ส่วนของกลางที่ยึดมาได้แล้วในขณะนี้ คืออาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุเป็นลูกซองสั้น และอาวุธปืนของผู้เสียหาย 1 กระบอก อีก 1 กระบอก กำลังติดตาม ส่วนทองคำนั้นทราบว่าบางส่วนได้ถูกนำไปจำนำในร้านทองแห่งหนึ่งในนครศรีธรรมราช อยู่ในระหว่างติดตามเช่นกัน
สำหรับข้อหาทั้ง 7 ราย ในขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้สอบตามพฤติการณ์ คือ ร่วมกันลักทรัพย์ บุกรุกเคหะสถาน และร่วมกันในความผิด พรบ.อาวุธปืน
อัลบั้มภาพ 13 ภาพ