สมคิด ฟ้อง ทวี-พวก ปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ

สมคิด ฟ้อง ทวี-พวก ปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ

สมคิด ฟ้อง ทวี-พวก ปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผบช.ภ.5 เอาคืนเดินหน้าฟ้อง ทวี พร้อมพวกรวม 3 คน ปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ จูงใจพยานปรักปรำคดีอุ้มฆ่านักธุรกิจซาอุฯ

วันนี้( 23 ธ.ค. ) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พล.ต.ท. สมคิด บุญถนอม ผบช.ภ. 5 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.อ. สุชาติ วงษ์อนันตชัย รองอธิบดี ดีเอสไอ พ.ต.ท. เบญจพล จันทวรรณ เป็นจำเลยที่ 1 - 3 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด

ตามฟ้องโจทก์สรุปว่า เมื่อเดือน ก.พ. 2533 เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงเจ้าหน้าที่สถานทูตซาอุดิอาระเบียประจำประเทศไทย 3 คน เสียชีวิต และนายโมฮัมเหม็ด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจซาอุฯ หายตัวไปจากห้องเช่าเขตยานนาวา ต่อมาเจ้าหน้าที่สถานทูตซาอุฯ ได้มีหนังสือกล่าวโทษว่า โจทก์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนร่วมกัน เอาตัวนายอัลรูไวลี่ไปฆ่า จนถึงแก่ความตาย กรมตำรวจ (ขณะนั้น) ได้ตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงและแจ้งข้อหาดำเนินคดีอาญากับโจทก์ว่าร่วมกับพวกฆ่านายอัลรูไวลี่ โดยเจตนา อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสอบและพนักงานอัยการพิจารณาแล้วมีคำสั่งไม่ฟ้องโจทก์เด็ดขาด เนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานยื่นยันว่าโจทก์กระทำผิด

ต่อมาเมื่อระหว่างวันที่ 1 เม.ย. 2551 - 9 ธ.ค. 2552 ต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1 ในฐานะอธิบดี ดีเอสไอ ได้แต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ดีเอสไอ และให้จำเลยที่ 3 ร่วมเป็น พนักงานสอบสวน ตั้งข้อหาดำเนินคดีอาญากับโจทก์ในเรื่องเดียวกันอีกว่า โจทก์ร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชา 4 คน ฆ่านายอัลรูไวลี่ เพื่อเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์ และปกปิดความผิดของตน ให้พ้นความผิดอาญาที่กระทำไว้ ซึ่งมีโทษประหารชีวิต ทั้งที่ไม่มีพยานหลักฐานใหม่อันสำคัญแก่คดี โดยจำเลยทั้งสามปฏิบัติหน้าที่มิชอบ จูงใจให้ พ.ต.ท.กรณ์ หรืออัคควุธ หรือสุวิชชัย แก้วผลึก ที่เคยให้การไว้ในคดีเดิม มาให้การในคดีใหม่ปรักปรำโจทก์ เพื่อแลกกับการไม่จับกุมส่งไปรับโทษในคดีที่ศาลจังหวัดมีนบุรี และศาลอุทธรณ์ พิพากษาลงโทษจำคุกตลอดชีวิตข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่น

การกระทำของจำเลยทั้งสามในฐานะเจ้าพนักงานได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้โจทก์ต้องได้รับโทษ เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ถูกขัดขวางทางเจริญในตำแหน่งหน้าที่ราชการ

ศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณาและนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์วันที่ 15 ก.พ. 2553 เวลา 13.30 น.

ภายหลัง พล.ต.ท. สมคิด บุญถนอม กล่าวว่า การสอบสวนคดีนี้ ตั้งแต่แรก ดีเอสไอไม่มีพยานหลักฐานใหม่ ข้อเท็จจริงขัดแย้งกัน เช่น ไปให้การในคดีแพ่งที่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษร้องขอให้อัลรูไวลี่ เป็นบุคคลสาบสูญ โดยให้การขัดกันว่าบอกว่าหายตัวไป ไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่กลับมาแจ้งข้อกล่าวหาตนว่าเป็นคนฆ่า ซึ่งเป็นการนำเสนอข้อเท็จจริงที่ไม่ตรงกัน และไม่เปิดโอกาสให้ตนได้ตั้งทนายความเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง นอกจากนี้ยังแอบนำพยานที่ถูกศาลออกหมายจับและมีคำพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิตมาเป็นพยานขอให้สืบพยานล่วงหน้า แต่ศาลไม่อนุญาต จึงเป็นการนำเสนอพยานหลักฐานอันเป็นเท็จต่อศาล ตอนนี้ไม่รู้พยานดังกล่าวไปไหน

"ต้องนำข้อเท็จจริงขึ้นพิสูจน์เพื่อให้ศาลเห็นว่าการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เจตนาที่จะทำร้ายผมในหน้าที่การงาน ในตำแหน่งความรับผิดชอบ โดยมีการกระทำต่อเนื่องกันตั้งแต่ห้วงเวลาการขอออกหมายจับ ก่อนออกหมายจับ จึงขอปฏิเสธขั้นตอนการสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานที่ไม่ถูกต้อง ที่กล่าวหากลั่นแกล้งใส่ร้ายตน วันนี้จึงนำข้อเท็จจริงมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์และพิสูจน์ให้เห็นว่าการรวบรวมพยานหลักฐานของ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษอย่างไร ผมมีทั้งพยานเอกสาร พยานบุคคลที่ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคยทำคดี อัลรูไวลี่ ซึ่งสื่อมวลชนจะทราบในวันที่ท่านเดินทางมาเบิกความ" พล.ต.ท.สมคิด กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมถึงคิดว่าดีเอสไอกลั่นแกล้ง พล.ต.ท.สมคิด กล่าวว่า มันมีแรงจูงใจจากการที่ตนไปทำงานในพื้นที่ภาคเหนือ ที่เป็นอุปสรรคกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลบางกลุ่มในพื้นที่ดังกล่าว และความสัมพันธ์ของกระบวนการมีความเชื่อมโยงกัน ซึ่งรายละเอียดจะนำเสนอให้ศาลฟัง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook