"ชูวิทย์" แนะ ผบ.ตร. เขี่ย "บิ๊กจ้าว"​ ออกจากคดีตู้ห่าว ห่วงสำนวนหละหลวม

"ชูวิทย์" แนะ ผบ.ตร. เขี่ย "บิ๊กจ้าว"​ ออกจากคดีตู้ห่าว ห่วงสำนวนหละหลวม

"ชูวิทย์" แนะ ผบ.ตร. เขี่ย "บิ๊กจ้าว"​ ออกจากคดีตู้ห่าว ห่วงสำนวนหละหลวม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ชูวิทย์ แนะ ผบ.ตร. เขี่ย บิ๊กจ้าว​ ออกจากคดีตู้ห่าว ก่อนเก้าอี้สั่นคลอน

วันนี้ (25 ธ.ค. 65) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง แถลงข่าวมอบของขวัญวันคริสต์มาส เพื่อเป็นคำถามถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ระบุว่า การทำสำนวนคดีของตำรวจเปรียบเหมือนการปรุงอาหาร ซึ่งตำรวจเป็นคนปรุงแล้วส่งให้อัยการชิม ก่อนเสิร์ฟให้ศาลตัดสิน ตนมองว่าการทำคดีนี้ เป็นการสมคบคิดร่วมกันทำ สำนวนคดีมีความหละหลวม ไม่รัดกุม มีหลายประเด็นที่มีข้อสงสัย หากปล่อยให้สำนวนคดีนี้ไปถึงชั้นศาล อาจเป็นช่องว่างให้ทนายความฝั่งจำเลยใช้ช่องโหว่สู้คดี

 โดยที่ผ่านมาตนออกมาพูดเรื่องการเอาผิดกับกลุ่มผู้ต้องหา โดยเฉพาะนายตู้ห่าวในเรื่องของการฟอกเงินมาตลอด แต่ทางตำรวจได้มีการดำเนินการปล่อยทิ้งระยะเวลาไปนานถึงสองเดือน จึงจะเริ่มมีการแจ้งข้อหาเมื่อวานนี้ ส่วนเรื่องของทรัพย์สินนั้น ตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะมีการยักย้ายถ่ายเทไปแล้วหลายส่วน หากมองจากไทม์ไลน์ลำดับเหตุการณ์ วันที่ 26 ต.ค. เป็นวันเข้าจับกุมตรวจค้นผับจินหลิง จับกุมนายตู้ห่าว 22 พ.ย. กระทั่งวานนี้ 24 ธ.ค. เพิ่งจะมีการแจ้งเรื่องฟอกเงิน กับผู้ต้องหา แต่ไม่มีการแจ้งกับนายตู้ห่าวแต่อย่างใด

สำหรับคำถามแรกที่อยากให้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลตอบคำถามต่อสังคม คือ การเข้าค้นรอบแรก วันที่ 26 ต.ค. ได้ของกลางจากผับจินหลิง และลีลา รวมยาเสพติดกว่า 4.5 กิโลกรัม แต่ไม่เข้าค้นวิบวับคาร์วอช ทั้งที่เป็นบ้านเลขที่เดียวกัน ตั้งอยู่ในรั้วเดียวกัน แต่กลับมาค้นที่วิบวับคาร์วอชอีกครั้งในวันที่ 1 พ.ย. เวลา 17.00 – 18.00 น. ค้นพบของกลางยาเสพติด 950 กรัม ซึ่งทำไมจึงไม่ทำการค้นตั้งแต่วันแรกที่เข้าค้น เพราะมีการลงเวลาการค้นเพียง 1 ชั่วโมง

ตนมองว่าวิบวับคาร์วอชเป็นคลังในการเก็บยาเสพติด ส่วนจุดที่ค้นในวันที่ 26 เป็นเพียงจุดขายปลีก ด้านตำรวจเชื่อว่าการทิ้งไว้นานถึง 5 วันเป็นช่องให้มีการยักย้ายถ่ายเทยาเสพติดออกจากพื้นที่ แม้จะมีการอ้างว่ามีการส่งกำลังตำรวจเข้าไปปิดล้อมพื้นที่ แต่พบว่าเป็นเพียงสิบตำรวจสองคนที่เข้าไปดูแลสถานที่ รวมทั้งสำเนาบันทึกของกลางที่เข้าตรวจค้นในวันที่ 26 ก็สูญหายที่ สน.ยานนาวา โดยขณะนี้ยังไม่พบเอกสารดังกล่าว

จุดนี้เป็นประเด็นที่ตนเองในฐานะประชาชนสามารถตั้งคำถามได้ และผู้บัญชาการตำรวจนครบาลต้องตอบคำถามในประเด็นนี้ให้ได้อย่างชัดเจน เพราะการทิ้งระยะเวลาผ่านไปถึงห้าวันอาจส่งผลกระทบกับตัวสำนวนคดีอย่างมาก

นอกจากนี้ คำถามที่ 2 ในวันเข้าค้น วันที่ 26 ต.ค. เลขคดี 794/2565 ไม่มีการลงระบบ Crime ซึ่งเป็นระบบ ฐานข้อมูลสำคัญของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ในวันเข้าค้นวันที่ 1 พ.ย. เลขคดี 803/2565 กลับมีการลงบันทึก เป็นการเข้าค้นในวันที่สองพฤศจิกายนซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริง และการเข้าค้นในวันที่ 1 พ.ย. ตำรวจพบหลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิด ปรากฏภาพของนายเหมาหยาง ว่าเป็นบุคคลที่อยู่ในสถานที่ดังกล่าว แต่ตำรวจกลับไม่มีการดำเนินการใดกับนายเมาหยาง แม้สถานที่ดังกล่าวมีการตรวจพบยาเสพติด และกลับลงในระบบฐานข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าไม่พบผู้กระทำความผิดในวันเข้าตรวจค้น

อย่างไรก็ตาม ฝากถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่าหากไม่มีการเปลี่ยนตัวผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสั่นไหว ขอแนะนำให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสั่งให้มีการเปลี่ยนตัวและหาคนอื่นมาทำงานแทน

นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า เชื่อว่าสุดท้ายหากยังคงปล่อยให้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคนนี้เป็นผู้รับผิดชอบในการทำคดี จะเหมือนคดีของหลงจู๊ สมชาย ที่ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคนนี้เคยทำสมัยที่เป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาคสองที่ขณะนั้นมีการเข้าตรวจค้นยึดทรัพย์สินอย่างเอิกเกริกแต่สุดท้ายศาลยกฟ้องโดยให้เหตุผลถึงหลักฐานของทางตำรวจอ่อนเกินไป เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ในหลายหลายเรื่องพบว่ามีความบกพร่องในสำนวนคดีอย่างมากมาย

หลังจากนี้ตนเตรียมจะเข้าพบอัยการที่รับผิดชอบสำนวนของดีเอสไอ ที่มีการตรวจพบว่า พัชรินทร์ มีการรับโอนเงินกับกลุ่ม คอลเซ็นเตอร์ หลายล้านบาท เพื่อติดตามการทำงานในประเด็นนี้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook