ค่ายลูกเสือสุดเถื่อน เด็กถูกโรงเรียนอื่นรุม 20 ต่อ 7 อาวุธครบมือ ครู-ผอ.ปล่อยเรื่องเงียบ

ค่ายลูกเสือสุดเถื่อน เด็กถูกโรงเรียนอื่นรุม 20 ต่อ 7 อาวุธครบมือ ครู-ผอ.ปล่อยเรื่องเงียบ

ค่ายลูกเสือสุดเถื่อน เด็กถูกโรงเรียนอื่นรุม 20 ต่อ 7 อาวุธครบมือ ครู-ผอ.ปล่อยเรื่องเงียบ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ค่ายลูกเสือสุดเถื่อน เด็กถูกโรงเรียนอื่นรุม 20 ต่อ 7 อาวุธครบมือ ครู-ผอ.ปล่อยเรื่องเงียบ ผู้ปกครองลั่น อย่าให้วัวหายค่อยล้อมคอก

(28 ธ.ค. 65) ผู้สื่อข่าวประจำ จ.สุรินทร์ ได้รับการประสานจากผู้ปกครองเด็กนักเรียนโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ว่าต้องการให้สื่อช่วยนำเสนอข่าว หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (23 ธ.ค.65) ทางโรงเรียนได้นำเด็กนักเรียนไปเข้าค่ายลูกเสือ ที่ค่ายใน ต.เมืองลีง อ.จอมพระ จ.สุรินทร์ แล้วถูกกลุ่มนักเรียนจากจังหวัดบุรีรัมย์ ที่มาเข้าค่ายด้วยเช่นกัน รุมทำร้ายแบบ 20 ต่อ 7 คน ระหว่างพักเที่ยง แถมมีอาวุธ ทั้งมีด เหล็ก และไม้ หวังจะเอาให้ตาย ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

ผู้สื่อข่าวจึงลงพื้นที่ไปยังบ้านเลขที่ 131 ม.5 ต.หนองเหล็ก ซึ่งเป็นบ้าน นายสำรวล อายุ 65 ปี และพบกับผู้ปกครองเด็กนักเรียนชายที่ถูกทำร้าย พร้อมทั้งตัวนักเรียนด้วย เป็นเด็กนักเรียนในระดับชั้นมัธยมปีที่ 1-3 โดยได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เหตุเกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยครูได้นำนักเรียนไปเข้าค่ายลูกเสือ

ในขณะนั้นก็มีนักเรียนจากโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ มาเข้าค่ายด้วย ในตอนแรกเมื่อเจอกันก็มีนักเรียนจากโรงเรียนที่มาจากจังหวัดบุรีรัมย์ตะโกนเข้ามาและเกิดท้าทายกันขึ้น จากนั้นในช่วงเที่ยงวัน ขณะที่พักในห้องพักก็ได้มีกลุ่มนักเรียนจากโรงเรียนในจังหวัดบุรีรัมย์ประมาณ 20 กว่าคน เข้ามาและดึงเพื่อนของตนออกไปแล้วรุมทำร้าย พวกตนจึงได้เข้าไปช่วย จนเกิดการตะลุมบอนกันขึ้น ซึ่งอีกฝ่ายมีทั้งท่อนไม้ มีดพกสั้น และช้อนส้อมที่แหลมกับเหล็ก เข้ามาทำร้ายพวกตน ตนถูกตีด้วยท่อนไม้อย่างแรงระหว่างกกหูกับศีรษะ และได้รับบาดเจ็บที่นิ้วมือด้วย ก่อนที่ทั้ง 2 ฝ่ายก็ได้รับบาดเจ็บไปตามๆ กัน และแยกย้ายกันไป โดยขณะเกิดเหตุ ไม่มีเจ้าหน้าที่ของค่าย ครู อยู่ตรงนั้น

หลังเกิดเหตุได้ไปหาครูและครูได้พาไปให้หมอที่โรงบาลเอกซเรย์สมองดู แต่ไม่เป็นอะไร ก่อนพามาส่งที่บ้าน และครูได้พาเด็กทั้งหมดกลับมาบ้านเลย จากที่จะเข้าค่ายที่นั่นคืนหนึ่ง จากนั้นทุกอย่างก็เงียบไปเลย ไม่มีใครถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอีกเลย และจากการสอบถามเด็กนักเรียนเพิ่มเติม บอกว่ามีการเอามีดมาจี้ด้วย ก่อนที่จะลากออกไปรุมตีข้างนอก และลักษณะท่าทางเหมือนเมาอะไรมาสักอย่าง นอกจากนี้ยังทราบว่ากลุ่มนั้นเคยไปทำแบบนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ไม่รู้ที่ไหน

นายสำรวล ตาของเด็กชายบี (นามสมมุติ) นักเรียนชั้น ม.3 บอกว่า เวลาลูกหลานไปแบบนี้เราก็ฝากชีวิตไว้กับคุณครู และฝากชีวิตไว้กับค่ายตรงนั้น แต่เด็กโดนตีมันเสียความรู้สึก เพราะสถานที่ตรงนั้นเป็นค่ายใหญ่ระดับจังหวัดระดับประเทศ แต่ละโรงเรียนให้ความไว้วางใจ แต่เมื่อเด็กไปแล้วความปลอดภัยตรงนั้นมันไม่มีเลย อยากให้ค่ายมีมาตรการให้ดีกว่านี้หน่อย ดีที่เด็กมันป้องกันตัวเองได้ ถ้าป้องกันตัวเองไม่ได้ก็ต้องขนเป็นศพมา แล้วทางโรงเรียนก็ไม่ได้ใส่ใจสนใจเด็กที่โดนและบาดเจ็บมา มาครั้งเดียวตอนที่พาเด็กกลับจากโรงพยาบาลมาส่งที่บ้านแล้วก็มาขอโทษ มาขอโทษแค่นั้นแล้วก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย บอกแค่ว่าเด็กมันทะเลาะวิวาทกัน

เหตุเกิดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาตอนนี้ก็ยังเงียบ ไม่มาเยี่ยมถามข่าวเลย ทาง ผอ.โรงเรียนก็เงียบ ขนาดเด็กไปโรงเรียน ผอ.ยังไม่ถามเด็กเลยว่าเป็นอย่างไร แล้วอย่างค่ายก็ต้องมีมาตรการป้องกันชีวิตเด็กด้วย อย่างพวกมีดหรืออาวุธต่างมันเอาไปได้อย่างไร ต้องช่วยกันตรวจตราตรวจสอบ ไม่ใช่จะรับเงินค่าสถานที่อย่างเดียว แทนที่เด็กเข้าไปจะได้ความรู้แต่กลับได้อันตรายกลับมาแทน ถ้าเด็กไปเข้าค่ายตามดงตามป่ามันทะเลาะกัน มีมีดมีไม้ก็ไม่ว่ากันเพราะมันเอามีเอาขวานไปทำกับข้าว แต่ที่นี่กับข้าวอะไรก็ทำเตรียมให้หมดแล้ว คือมันเตรียมตัวไปเพื่อจะฆ่าคนโดยเฉพาะเลย พอเกิดเหตุมาค่ายก็เมินเฉยพอค่าย โรงเรียนก็เมินเฉย

นายสำรวล บอกอีกว่า ที่ตนต้องการให้ออกข่าว ก็เพื่อว่าให้ค่ายตรงนั้นมีมาตรการปกป้อง ป้องกันชีวิตของเด็ก และเมื่อมันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ค่ายตรงนั้นก็สมควรที่จะต้องพัฒนาขึ้นกว่านี้ เพิ่มมาตรการมากขึ้นกว่านั้น เวลาจะพักเที่ยงหรือเวลาไหนก็ช่างก็ต้องมีเวรมียามป้องกันเหตุ ไม่ใช่จะให้เด็กไปผจญภัยแบบไม่มีใครดูแล

จากนั้นผู้สื่อข่าวได้เข้าไปโรงเรียนบ้านหนองเหล็ก เพื่อสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ ผอ.โรงเรียน โดยทางครูแจ้งว่า ผอ.ไปราชการ ซึ่งจากการสอบถามครูในโรงเรียน ก็บ่ายเบี่ยงการให้ข้อมูลในเรื่องดังกล่าว บอกเพียงแต่ว่าได้ไปพูดคุยกับทางผู้ปกครองของเด็กแล้ว และไม่ขอเผยรายละเอียดเรื่องดังกล่าวที่เกิดขึ้น เรื่องนี้ให้ไปสอบถามกับทาง ผอ.โรงเรียนเอง และเมื่อผู้สื่อข่าวขอเบอร์โทรติดต่อ ผอ.ก็ไม่ยอมให้แต่อย่างใด และเมื่อขอชื่อ-นามสกุล ผอ.โรงเรียนก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้ด้วยเช่นกัน ผู้สื่อข่าวจึงค้นหาชื่อ ผอ.กันเอง และยังไม่สามารถติดต่อได้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook